Tuesday, March 16, 2010

จาก ซานตา มาร์เกอริตา ถึง ปอร์โตฟิโน

จาก ซานตา มาร์เกอริตา ถึง ปอร์โตฟิโน





คมชัดลึก :บัดนี้ ข้าพเจ้ารู้ซึ้งแล้วว่า สวยไม่บันยะบันยัง นี่มันเป็นยังไง ซานตา มาร์เกอริตา ลิกูรี เป็นสถานีรถไฟที่เล็กจัด ไม่มีอะไรซับซ้อนให้งงงวย แค่เดินผละจากชายคาสถานีรถไฟ เดินไปด้านหลังก็มีป้ายรถเมล์ที่มีบัสเวียนหน้าวิ่งพาไปส่งที่เมืองปอร์โตฟิโนทุก 20 นาที (สอบถามตารางรถไฟได้ที่ดีทแฮล์มฯ โทร.0-2660-7067-9) ถึงจะไม่ได้มีเวลาให้แก่อิตาเลียน ริเวียรา อย่างเหลือเฟือมากนัก แต่ฉันก็ไม่ใจไม้ไส้ระกำปล่อยให้ซานตา มาร์เกอริตา ลิกูรี เป็นแค่ทางผ่าน แค่ชายหางตามอง ก็รู้แล้วว่า นี่เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ไม่ควรปล่อยให้เป็นแค่ทางผ่าน






  สำหรับผู้ที่หลงใหลกลิ่นจัดจ้านของแสงแดด สุขทุกครั้งที่ได้นอนเกลือกลิ้งปิ้งตัวบนหาดทราย อิ่มเอมที่ได้ทอดสายตามองท่าเรือที่อุดมไปด้วยเรือยอชท์ลำหรูจอดเรียงรายอยู่ในเวิ้งอ่าว  และเอนหลังอยู่ในวิลล่าสไตล์อาร์ต นูโวที่แสนมีชีวิตชีวา มองเห็นโบสถ์สไตล์ร็อคโคโคอย่าง Santa Margherita d’Antiochia ที่ดึงทุกสายตาให้เพ่งมองไปที่นั่น ซานตา มาร์เกอริตา ลิกูรี พร้อมจะปรนเปรอสิ่งเหล่านี้ให้ผู้มาเยือนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
 บ้านเรือนสีเหลืองสลับสีชมพูอมส้มที่ทอดตัวอยู่ตามแนวชายหาด อาจไม่เก่าคร่ำเหมือนบางมุมของอิตาลี แต่ดูแล้วสบายตาน่ามอง ถนนคอนกรีตที่คั่นกลางระหว่างชายหาดกับอาคารร้านรวง ปรุงแต่งให้รูปลักษณ์ของซานตา มาร์เกอริตา ดูเหมือนเมืองท่องเที่ยวประเภทเดียวกับภูเก็ต บางแสน และพัทยา ที่นี่จึงมีแต่ผู้คนแต่งตัวกันเปรี้ยวหรูกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ละนางเหมือนจะไปเดินแบบ ไม่ได้มาเที่ยว
 ซานตา มาร์เกอริตา ลิกูรี เพิ่งเป็นที่รู้จักในสมัยศตวรรษที่ 19 หลังจากที่หมู่บ้านเก่าแก่ 2 แห่งคือหมู่บ้านเปสซิโนและคอร์เตที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ถูกนักท่องเที่ยวพูดถึงกันแบบปากต่อปาก  จนกลายเป็นจุดหมายยอดนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษวิลล่าหลังงามที่สร้างในศตวรรษที่ 16 ที่ชื่อปาร์โค ดิ วิลล่า ดูราซโซ (Parco di Villa Durazzo) ถูกสร้างอยู่บนเนินเขาที่อยู่ระหว่างหมู่บ้านทั้ง 2 แห่งนี้ ได้รับอนุรักษ์เอาไว้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ดั้งเดิมและของตกแต่งอันเก่าแก่ทุกชิ้นยังถูกเก็บอยู่ในบ้านหลังนี้  ผลงานศิลปะและสวนที่ตกแต่งสไตล์อิตาลี เป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดให้ผู้มาเยือนอยากเห็นที่นี่
 บริเวณเนินเขาด้านล่างในเมืองคอร์เต เป็นที่ตั้งของโบสถ์คัปปุคชินี (Church of Cappuccini) ที่สร้างในสมัยศตวรรษที่ 17 ที่ทำให้ใครๆ ก็อยากไปโบสถ์นี้ เพราะมีไม้กางเขนที่ทำด้วยไม้อายุเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 ตรึงอยู่ที่นั่น
 ที่จริง จัตุรัสคาพรีรา (Piazza Caprera) เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการทำความรู้จักกับหมู่บ้านที่แสนโอ่อ่าอย่างซานตา มาร์เกอริตา ลิกูรี  ถนนแคบๆ ที่โรยด้วยหินกรวดจะพาสองเท้าของทุกคนไปสอดส่องตึกรามบ้านเรือนอันงดงาม
 ฉันอนุญาตให้ซานตา มาร์เกอริตา ลิกูรี ช่วยเสิร์ฟความสวยมาให้ชิมอุ่นเครื่องไปพลางๆ ก่อน  พอเจอความสวยของปอร์โตฟิโนจะได้ไม่ตกใจ 
 ที่จริงจากซานตา มาร์เกอริตา ลิกูรี ไปหาปอร์โตฟิโนไปได้หลายทาง  ถ้านั่งเรือไปก็จะเลาะทะเลไป ได้เห็นบรรยากาศของหมู่บ้านริมทะเล ผ่านหมู่บ้านปารากี (Paraggi) ที่ดูจากรูปแล้ว ระดับความงามคงไม่น้อยไปกว่าแถวชายฝั่งอมัลฟี
   บางคนเช่ารถแล้วขับเลื้อยไปตามถนนแคบๆ  แต่ขอเตือนว่า ถ้าไม่เซียนจริงอย่าเปรี้ยว  เพราะถนนแถวนี้เป็นโค้งทั้งแคบทั้งคดเคี้ยว 
 ส่วนโลโซอย่างฉันเลือกใช้บริการรถเมล์  ที่พาวิ่งลัดเลาะไปตามเหลี่ยมผาและเนินเขา ราวๆ 15 นาที เห็นจะได้  
  แล้วนางฟ้าแห่งอิตาเลียน ริเวียรา ก็ค่อยๆ ปรากฏตัวหลังเหลี่ยมเขา  ปอร์โตฟิโนแทบไม่เหลือคราบของหมู่บ้านชาวประมง วิลล่าโก้เก๋และโรงแรมอันหรูไฮผุดขึ้นตามไหล่เขา ร้านรวงผุดขึ้นห้อมล้อมโบสถ์ประจำหมู่บ้าน 
  แบรนด์เนมแถวหน้าสารพัดยี่ห้อ แทรกตัวขึ้นกลางหมู่บ้านชาวประมง  จนทำให้หลายครั้งที่ฉันเกิดอาการตาเบิกโพลงอย่างคาดไม่ถึง เมื่อเหลือบไปเห็นแบรนด์ดังอย่าง Hermes และ Gucci  ซ่อนตัวอยู่กลางหมู่บ้าน และ Louis Vuitton ที่ตั้งอยู่ในซอยแคบๆ
 นาฬิกาเรือนแสนจาก Cartier มีไว้ให้ผู้มีอันจะกินจากทั่วโลกมาช็อปเป็นที่ระลึกจากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งนี้ หรือใครอยากจะได้รองเท้าคอลเลกชั่นซัมเมอร์เก๋ๆ ฮิพๆ จาก Ferragamo เอาไว้ประดับฝ่าเท้าสักคู่ ปอร์โตฟิโนก็จัดให้
  Armani ตั้งเฉิดฉายรอคนมีสตางค์แวะเข้าไปจับจ่าย  เสื้อผ้าในร้าน Dolce & Gabbana รอเจ้าของพามันกลับบ้านไปด้วย แต่มันคงรอไม่นาน เพราะฉันเห็นรูปพรรณสัณฐานของคนที่เดินเตร็ดเตร่แถวนี้มีเงาเศรษฐีทาบกันแทบทุกคน  ก็เห็นจะมียาจกจากขวานทองนี่แหละที่เอาแต่วินโดว์ ช็อปปิ้งอย่างเพลิดเพลินเจริญเบ้าตา
 ทั้งหมดที่ว่ามา อยู่ในอาณาบริเวณของหมู่บ้านเล็กๆ  ที่เผลอๆ ขนาดอาจจะเล็กกว่าสยามพารากอนแค่ชั้นเดียวซะอีก 
 ความรื่นรมย์จะค่อยๆ แผ่ออกห่มคลุมกายใจ เมื่อได้ย่างเท้าไปตามตรอก ซอก ซอยของตัวเมืองปอร์โตฟิโน  อาคารบ้านเรือนสีสันละมุนตาวางตัวเรียงรายไปทุกอณู  เมืองในแถบชายฝั่งอมัลฟีอย่างซอเรนโต้  โพสิตาโน หรืออมัลฟี เคยทำให้หัวใจฉันอมยิ้มกับตรอก ซอก ซอย ที่อุดมไปด้วยสีสัน  ปอร์โตฟิโนก็เป็นแบบนั้น งามฉ่ำไม่มีที่ติ
 สำหรับพลพรรคนักแบกเป้  ที่นี่ไม่มีเรือนพักรังหนูเอาไว้ให้เอนหลัง  เป็นอันรู้กันว่าถ้ามาเที่ยวแถวนี้ก็ต้องนั่งรถกลับไปหาเรือนพักแบบราคาไม่เชือดเฉือนจิตใจได้แถวซานตา มาร์เกอริตา ลิกูรี  เพราะที่นี่มีแต่วิลล่าโก้หรูเอาไว้ให้คนมีสตางค์มาระบายเงินยูโร
  ฉันได้แต่ไปยืนแหงนคอมองบนระเบียงที่เปลือยโล่งของโรงแรมสเปลนดิโด (Hotel Splendido)  โรงแรมสุดหรูในปอร์โตฟิโน ที่มองเห็นเวิ้งอ่าวอันแสนโรแมนติก ที่พร้อมจะเนรมิตระเบียงให้คุณนอนอาบแสงละมุนอยู่ใต้ทะเลดาวในยามค่ำคืน  แม้ราคาค่าเรือนพักจะวิ่งไกลไปแตะถึงคืนละ 700 ยูโร แต่คนรวยยังต้องจองกันข้ามปี 
 ทำใจกล้าหน้ามึนเดินเข้าไปถามไถ่ที่มาที่ไป  ได้ความว่าเดิมทีเป็นอารามในสมัยเบเนดิกไทน์ที่ถูกจับมาโมดิฟายให้เป็นวิลล่าหลังงาม  ใครๆ ก็อยากนอนเลื้อยที่นี่ จิบไวน์แกล้มวิว แต่พอได้ยินว่าห้องราคาถูกที่สุด เอาแบบโปรโมชั่นลดสะท้านใจก็เริ่มต้นที่ 400 ยูโร  ฟังแล้วเซเลบจากขวานทองเกิดอาการหูดับชั่วคราว ขืนนอนที่นี่แค่คืนเดียว เซเลบจะขบเล็บตัวเองออกมารับประทานแทนข้าวให้ดู
 เกิดอาการกระบิดกระบวนเล็กน้อยเมื่อต้องนั่งรถเมล์กลับซานตา มาร์เกอริตา ลิกูรี ระหว่างทางก็ได้แต่นึกขอบคุณ ”พี่ต้อย” นางฟ้าแห่งเคทีซี ที่ช่วยชี้ทางไปสวรรค์ให้  ถ้าไม่ได้พี่ต้อยคงไม่รู้ว่าอิตาลีซุกสวรรค์เอาไว้อย่างไม่เอิกเกริก
"กาญจนา หงษ์ทอง"










NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

No comments:

Post a Comment

Blog Archive