Wednesday, April 14, 2010

ที่หนึ่ง คือ ครอบครัว

ที่หนึ่ง คือ ครอบครัว




คมชัดลึก : ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงส่งผลให้วิถีชีวิตของคนไทยผันแปร จากครอบครัวใหญ่ที่อยู่กันอย่างพร้อมหน้า คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย กลับกลายเป็นครอบครัวเดี่ยวที่มีเพียง พ่อ แม่ และลูก และในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้แน่นอนว่าผู้นำครอบครัวเป็นต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ เดินเครื่องปั๊มเงินกันอย่างสนุกมือ เพื่อนำรายได้มาจุนเจือครอบครัวรวมทั้งธุรกิจที่ตัวเองปลุกปั้นขึ้นมา







 นี่เองทำให้หนุ่มสาวยุคใหม่ต้องเผชิญกับบทบาทอันหลากหลายในหนึ่งวัน ไหนจะบทบาทของผู้บริหารยามก้าวเท้าเข้าบริษัท ไหนจะบทบาทของเซเลบริตี้ยามออกงานสังคม แล้วไหนจะต้องทำหน้าที่คุณพ่อ-คุณแม่ยามกลับมาถึงบ้าน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคำว่า "ครอบครัว" ของพวกเขาล่ะ อยากรู้มั้ยว่าพวกเขาจัดอันดับอยู่ที่เท่าไรกัน ตามมาอ่านด้านล่างนี้กันดีกว่า...
 เปิดฉากกันด้วยครอบครัว ศรีอรทัยกุล ซึ่งมีหัวเรือใหญ่อย่างคุณพ่อ "หนึ่ง" สุริยน คุณแม่ เมก้า และลูกชายทั้งสอง "พูม" ภานุกร และ "พรู๊ฟ" ธนกร ครอบครัวนี้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของธุรกิจร้านเพชร บิวตี้ เจมส์  ที่แม้ธุรกิจส่วนตัวจะยุ่งเหลือคณานับ แต่ก็ยังปลีกเวลามารับหน้าที่พิธีกรให้แก่รายการ โซเชียล นิวส์ พลัส พร้อมๆ กับออกงานสังคมไปในคราเดียวกัน เรียกว่าในหนึ่งวันนั้นเฮียหนึ่งใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าเสียจริงๆ แต่ถึงจะยุ่งมากขนาดไหน ก็ยังซูฮกให้แก่ครอบครัวเป็นอันดับแรกเสมอ
 "ผมให้ความสำคัญของครอบครัวเป็นอันดับแรก ทำให้ผมต้องทำงานหนักเป็นที่หนึ่งด้วย งานกับครอบครัวของผมต้องมาคู่กันเสมอ เป็นการเตรียมพื้นฐานให้แก่เด็กๆ เพื่ออนาคตของพวกเขา ผมไม่ได้บอกว่าเพื่อให้พวกเขาสบาย แต่สิ่งที่ทำเพราะไม่อยากจะให้พวกเขาลำบากในการสานต่อ ผมทำงานหนักแต่เวลาที่ผมให้ลูกเป็นเวลาคุณภาพมากกว่า คือ อย่างบางครั้งเราเห็นว่าเขารู้สึกนิ่งหรือเหงา ผมจะทิ้งทุกอย่างแล้วเข้าไปประกบลูกทันที เราจะรู้ว่าลูกขาดตรงไหน ต้องการอะไร อยากให้ช่วยอะไรจะเข้าไปช่วย แต่ผมจะเลี้ยงลูกแบบให้เขาเป็นตัวของตัวเอง ให้เขาได้ตัดสินใจเอง ถึงยังไงเด็กจะโตเองไม่ได้ถ้าไม่มีผู้ใหญ่คอยสนับสนุน" คุณพ่อลูกสองแจง
 ด้านครอบครัว จีระแพทย์ ที่ทั้งคุณพ่อ "โบ๊ท" จามร และคุณแม่ "หนิง" ศรัยฉัตร ต่างวุ่นวายกับภารกิจที่ต้องรับผิดชอบตลอดทั้งสัปดาห์ แต่ไม่ว่าจะยุ่งมากแค่ไหน ทั้งสองก็จัดสรรเวลาให้แก่ลูกสาวสุดที่รัก "น้องเบลล่า" กุญช์จารี โดยไม่ทำให้ลูกสาวรู้สึกว่าเธอได้รับความรักจากคุณพ่อหรือคุณแม่เพียงฝ่ายเดียว
 "หนิงโชคดีตรงที่งานพิธีกรอีเวนท์ใช้เวลาไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง ทำให้เวลาที่เหลือสามารถอยู่กับลูกได้ ส่วนพี่โบ๊ทถึงจะทำงานออฟฟิศ แต่เขาโชคดีในเรื่องของเวลาเข้างาน ตอนเช้าเราสองคนจะสามารถจัดการกิจวัตรประจำวันของลูกได้พร้อมๆ กัน อย่างอาบน้ำ แปรงฟัน ส่งลูกไปโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนของลูกอยู่ในซอยบ้าน ตอนเย็นพี่โบ๊ทจะรีบกลับ ถ้าวันไหนติดประชุมไม่ทันส่งลูกเข้านอนเขาก็จะชดเชยตอนเช้า แต่ถ้าเสาร์อาทิตย์นั่นคือวันครอบครัวของเรา คำว่าครอบครัวของหนิงไม่มีแค่ 3 คน แต่ยังรวมถึงญาติพี่น้อง คุณปู่ คุณย่า คุณยาย ด้วย หนิงรับรู้ได้ว่าลูกมีความสุขถ้าเราอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า เดี๋ยวนี้มีหลายครอบครัวหย่าร้าง สำหรับหนิงแล้วไม่ว่าจะทำอะไรจะพยายามนึกถึงลูกเป็นหลัก จะเตือนกันเสมอว่าเรายังมีอีกหนึ่งชีวิตที่อยากให้เราอยู่ด้วยกัน เมื่อไรที่เราตัดสินใจว่าจะมีครอบครัว ความรับผิดชอบต้องตามมาด้วย จะมานึกคิดอะไรแบบชั่ววูบไม่ได้แล้ว เพราะถ้าลูกโตขึ้นเขาจะรู้สึกนึกคิดยังไง หนิงอยากจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เขา เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วคนที่รักเรามากที่สุดก็คือคนในครอบครัวนั่นเอง" หนิงกล่าว
 ส่วนครอบครัว ศักดิเดช ภานุพันธ์ ที่นำทีมโดยคุณพ่อ ม.ร.ว.ทินศักดิ์ คุณแม่ ศิริกาญจน์ และลูกๆ อย่าง "ปอ" ศีกัญญา, "แพทริค" ม.ล.ศรุศักดิ์ และ "แพทรา" ม.ล.ศิริณี ซึ่งหลายคนอาจจะรู้จักสาวปอในฐานะของเซเลบริตี้สาวมากความสามารถ ผู้นำเข้ากระเป๋าแบรนด์เนมชื่อดังอย่าง "คิปลิงค์" ในขณะที่ครอบครัวก็มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้รับผิดชอบ มีธุรกิจของตัวเองที่ต้องรับผิดชอบมากขนาดนี้ แต่สาวปอก็ยังไม่ลืมที่จะจัดสรรเวลามาให้แก่ครอบครัวอันเป็นที่รักด้วยเหมือนกัน
 "สำหรับปอแล้วงานกับครอบครัวต้องมาคู่กันเสมอ โดยเฉพาะถ้าตอนที่ทำงานอยู่แล้วมีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้นภายในครอบครัว ปอสามารถทิ้งงานเพื่อไปหาครอบครัวได้ทันที ถึงยังไงครอบครัวก็เป็นสิ่งที่ตัดกันไม่ขาด ถึงเราจะเศร้าแค่ไหน ก็เชื่อว่าปอสามารถกอดคุณพ่อคุณแม่ได้เสมอ" ปอแจกแจง
 ปิดท้ายกันด้วยครอบครัว ดิศกุล ที่มีคุณพ่อ "คุณก้อง" ม.ล.ณัฐสิทธิ์ คุณแม่ "เก๋" จิรวรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา พร้อมด้วยทายาทคนแรก "น้องกอหญ้า" กวินนา แม้คุณพ่อและคุณแม่จะมีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบอย่างหนัก แต่เวลา 19.00 น. ของวันทำงานทั้งคู่จะต้องกลับมาทานข้าวด้วยกันที่บ้านทุกครั้ง
 "เก๋จะยึดหลักครอบครัวมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะต่อให้เก๋มีเงินมากแค่ไหนก็ซื้อความสุขไม่ได้ ความสุขของเก๋คือการได้อยู่กับครอบครัว ถ้าเก๋จะมีเงินมากแค่ไหน ถ้าไม่มีเวลาให้ครอบครัวก็ไม่สามารถพบความสุขที่แท้จริงได้ เก๋คิดตามหลักความเป็นจริงเสมอว่า คนเราเกิดมาไม่รู้จะตายเมื่อไร ดังนั้นเราก็ควรจะทำชีวิตของเราให้มีความสุขที่สุดทุกวัน ความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อมและมีหลายแบบไม่จำเป็นต้องมีเงินทองมากมาย ต่อให้คุณพ่อของเก๋กำลังจะล้มละลายเก๋ก็มีความสุขที่ได้อยู่กับครอบครัว แต่คนเรามักจะมองข้ามสิ่งใกล้ตัวเสมอ เก๋กับก้องทำงานนอกบ้านก็จริง อย่างเวลาทำงานเก๋จะทำเต็มที่และจะเลิกงานไม่เกิน 18.00 น. แล้วกลับมาทานข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านตอน 19.00 น. กลางคืนจะนอนด้วยกันกับลูก เช้าเก๋จะให้เวลากับลูกก่อนออกไปทำงาน ยิ่งวันเสาร์อาทิตย์เป็นเวลาของครอบครัว ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ทำงานเด็ดขาด" เก๋ย้ำจุดยืนทิ้งท้าย
 แล้วคุณล่ะคะ...ลืมคนในครอบครัวไปหรือเปล่า...
 










NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

No comments:

Post a Comment

Blog Archive