Thursday, March 18, 2010

สภากาชาดไทยหวังม็อบแดงไม่ยืดเยื้อกระทบจัดงาน

สภากาชาดไทยหวังม็อบแดงไม่ยืดเยื้อกระทบจัดงาน



คมชัดลึก :สภากาชาดไทย หวังชุมนุมเสื้อแดงไม่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบจัดงานกาชาด วอนเห็นใจ เป็นงานกุศลระดับชาติ ระดมทุนช่วยคนไทย






ที่โรงแรมริชมอน เมื่อวันที่ 18 มี.ค. พญ. สร้อยสอางค์ พิกุลสด ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการงานบริการโลหิตระดับชาติ ประจำปี 2553 ว่า ในช่วงหน้าร้อนของทุกปี สภากาชาดไทยจะประสบปัญหาการขาดแคลนเลือดที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ แต่สำหรับปีนี้จากเหตุการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทำให้คนโดยเฉพาะ กทม. คิดถึงการบริจาคเลือดมากขึ้น ทำให้มีสภากาชาดเลือดสำรองมากกว่าปี 2552 และขณะนี้มีเลือดที่สามารถเบิกจ่ายได้ถึงวันละ 1,500 ยูนิต และเลือดสำรองในภาวะฉุกเฉิน 1,000 ยูนิต ซึ่งเลือดที่สภากาชาดได้รับบริจาคประมาณร้อยละ 40 ถูกส่งไปช่วยเหลือผู้ป่วยในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องใช้วันละ 100 ยูนิต

พญ.สร้อยสอางค์ กล่าวว่า ส่วนที่ผู้ชุมนุมนำเลือดมาเทราดตามสถานที่ต่างๆ คงเป็นวิถีทางการเมือง และนั่นไม่ใช่การบริจาคเลือดที่เราพูดถึงในความหมายของสภากาชาด เพราะการบริจาคเลือดของกาชาดคือการบริจาคที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่มีเรื่องทางการเมืองเข้ามาแทรกแซง แต่เป็นการช่วยชีวิตผู้ป่วย ซึ่งเป็นประโยชน์จึงจะเรียกว่า เลือดบริจาคได้ แต่ทั้งนี้ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วยกระตุ้นให้มีผู้มาบริจาคเลือดเพิ่มขึ้น อยากจะให้เป็นแรงบันดาลใจในการบริจาคเลือดของประชาชน ไปถึงหน้าร้อนคือเดือนเมษายน เป็นช่วงที่เราอยากมีโครงการแล้งนี้ไม่แล้งน้ำใจ เพราะมีช่วงวันหยุดยาวที่มักมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ที่ต้องใช้เลือดช่วยผู้บาดเจ็บ รวมถึงผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ต้องใช้เลือด หากมีเลือดไม่เพียงพอแพทย์ต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไป ตอนนี้แปลใจเพราะทุกปีเรามีเลือดที่ได้รับบริจาคต่อวัน 1,200 -1,300 ยูนิต แต่เมื่อวันที่ 17 มี.ค. สูงถึง 1,500 ยูนิต

พญ.สร้อยสอางค์ กล่าวต่อว่า ไทยเป็นประเทศที่อันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียที่มีการบริจาคโลหิตโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เพราะบางประเทศต้องมีการซื้อขายถึงร้อยละ 80 แต่ประเทศไทยเป็นการบริจาคถึงร้อยละ 99 นอกจากนี้ช่วงหน้าแล้งปีที่ผ่านมาที่มีปัญหาเลือดขาด ก็เป็นการใช้เลือดจากญาติผู้ป่วยแทน ร้อยละ 7-10 ส่วนความสามารถในการหาเลือดในปัจจุบันเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างมาก โดยเมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา ใน กทม.สามารถหาเลือดได้ปีละ 100,000 ยูนิต แต่ขณะนี้ได้ปีละ 500,000 ยูนิต หรือเฉลี่ยต่อเดือน 40,000-45,000 ยูนิต แต่คาดว่าปีนี้จะขยับเป็นเดือนละ 50,000 ยูนิต ทั้งนี้เป็นเพราะได้รับความร่วมมือจากประชาชน ซึ่งคนไทยนอกจากจะใจบุญแล้วยังเข้าใจว่าสถานการณ์แบบใดต้องได้รับความร่วมมือให้เข้ามาบริจาค

นอกจากนี้ พญ.สร้อยสอางค์ กล่าวต่อว่า สำหรับการจัดงานกาชาดประจำปี 2553 กำหนดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มี.ค. ถึง 7 เม.ย. หวังว่าการชุมนุมจะไม่ยืดเยื้อ เป็นเพียงการแสดงออกทางการเมืองแล้วจบกันไป เนื่องจากงานกาชาดเป็นงานการกุศลระดับชาติ ถ้าเราได้เงินจากงานกาชาดจะนำมาใช้ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนคนไทยในเขตที่ด้อยโอกาส หรือมีภัยพิบัติ จึงต้องมีเงินบริจาคเตรียมไว้ ดังนั้นจึงคาดหวังว่า งานกาชาดไม่ควรที่จะต้องเลื่อนออกไป และอยากให้คนที่ร่วมออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ได้มองเห็นส่วนรวมด้วยว่างานกาชาดเป็นงานระดับชาติของเราที่จะช่วยผู้ป่วยทุกระดับทุกมุมของประเทศเรา








ข่าวที่เกี่ยวข้องเสิร์ฟข่าว...เม้าท์แตก (พุธที่ 17 มี.ค.53)

ใครอะไรที่ไหนประจำวันที่ 17 มี.ค.จุรินทร์ประสานกทม.ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเลือดเสื้อแดงกาชาดเตือนมีโรคประจำตัวห้ามเจาะเลือด มร.สส.รับพยาบาล

NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

No comments:

Post a Comment

Blog Archive