Tuesday, March 16, 2010

เทศน์ดับอารมณ์แดง ของ...พระธรรมฐิติญาณ (เจ้าคุณวัดบึง)

เทศน์ดับอารมณ์แดง
ของ...พระธรรมฐิติญาณ (เจ้าคุณวัดบึง)





คมชัดลึก :"พระธรรมฐิติญาณ" หรือ "ท่านเจ้าคุณวัดบึง" เจ้าคณะภาค ๑๐ (ธรรมยุต) และเจ้าอาวาสวัดบึงพระลานชัย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด พระนักเทศน์ชื่อดังแห่งภาคอีสาน เพชรน้ำเอกด้านการศึกษาสงฆ์แห่ง จ.ร้อยเอ็ด คงไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อผู้ที่สามารถเทศนาถ่ายทอดหลักธรรมสู่ญาติโยมอย่างเป็นรูปธรรม สามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณค่า จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศไทยและต่างประเทศ แม้ว่าวัยจะล่วงเลยมาถึง ๗๓ พรรษา ๕๓ แต่กิจนิมนต์ของท่านไม่ได้ลดลงเลย โดยเฉพาะในแถบจังหวัดภาคอีสาน ในแต่ละวันจะมีผู้นิมนต์ไปเทศน์ประมาณ ๓-๔ งานต่อวัน สูงสุดเคยรับกิจนิมนต์ไปเทศน์ถึง ๗ งานต่อวัน






  เจ้าคุณวัดบึง บอกว่า ปกติแล้วจะเป็นผู้กำหนดแนวทางไปว่า เราจะให้อะไรแก่ผู้ฟัง และผู้ฟังจะได้อะไรจากเรา บางครั้งผู้นิมนต์ก็ตั้งประเด็นมา จะให้เทศน์แบบไหนก็ได้ ถ้าจะเปรียบไปแล้ว พระนักเทศน์ก็เปรียบเหมือนแม่ครัว คือ ทำอาหารตามใจแม่ครัว จะถูกปากหรือไม่ถูกปากคนก็ต้องกิน
 ส่วนอีกแบบหนึ่งก็เหมือนอาหารตามสั่ง ซึ่งคนสั่งต้องอยากกิน แน่นอนที่สุดว่า ก็ต้องถูกใจมากกว่าแบบแรก
 ประเด็นเทศน์ชนิดที่เรียกว่า “เทศน์จนปากเปียกแจะ” หรือ “เทศน์จนปากจะฉีกถึงหู” คือ “เรื่องความสามัคคีของคนในชาติ”
 โดยจะเริ่มต้นด้วยพุทธสุภาษิตว่า “สุขา สังฆัสสะ สามัคคี” “สุขเกิดจากความสามัคคี” หากแปลความหมายตามตัวอักษรจะหมายถึง “ความพร้อมเพรียงของหมู่คณะก่อให้เกิดความสุข”
 ทั้งนี้ ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อปทานตอนท้ายพุทธอปทาน บางตอนกล่าวไว้ว่า "ท่านทั้งหลายจงเห็นความวิวาทเป็นภัย และเห็นความไม่วิวาทโดยเกษมแล้ว จงสมัครสมานกัน กล่าววาจาอ่อนหวานแก่กัน”
 ท่านเจ้าคุณวัดบึงจะยกผลของการแตกแยกความสามัคคีของชาวเมืองลิจฉวีในสมัยพุทธกาล ขณะเดียวกันก็จะยกเหตุการณ์กรุงศรีอยุธยาแตกทั้ง ๒ ครั้ง ซึ่งทั้ง ๒ ครั้งก็มีเหตุมาจากการแตกความสามัคคีเช่นกัน
 นอกจากนี้ยังยกเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสงกรานต์ปี ๒๕๕๒ มาเป็นตัวอย่างเทศน์ประกอบ พร้อมกับยกบทกลอนที่ว่า “สามัคคีดีล้ำเป็นธรรมเลิศ  ธำรงเชิดชูชาติและศาสนา ดับยุคเข็ญเย็นเกษมเปรมปรีดา แก่ประชาผู้อุทิศนิจนิรันดร์ หากประเทศชาติใดไร้สามัคคี ย่อมจะมีเดือดร้อนค่อนข้างวุ่น บ้านจะแตกย่อยยับดับเป็นจุณ เป็นทางหนุนศัตรูกลับเข้าเมือง เหตุฉะนั้น สามัคคีดีเหลือล้น ไทยทุกคนมีไว้ไทยฟูเฟื่อง จะปราบทุกข์สุขจีรังกันทั้งเมือง  ไทยรุ่งเรืองเพราะประชาสามัคคี”
 เมื่อถามถึงหัวข้อธรรมที่สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาวะปัจจุบันนี้ ท่านเจ้าคุณวัดบึง บอกว่า ความสันโดษ ซึ่งหมายถึง "พอ" คนเราต้องรู้จักคำว่าพอ พอตัวเดียวจะทำให้เกิดความสุข ถ้าไม่รู้จักคำว่าพอ อย่างไรก็ไม่มีความสุข ซึ่งตรงกับหลักธรรมเรื่องความสันโดษ คือ พอใจในสิ่งที่เรามี ยินดีในสิ่งที่เราได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้พอใจอยู่แค่นี้ ต้องพัฒนาไปเรื่อย ได้เท่าไรสำเร็จเพียงใด ก็พอใจเท่านั้น ใครคิดและทำได้ก็ย่อมมีความสุข
 เหตุที่คนเราเป็นทุกข์อยู่ทุกวันนี้ คือ ไม่รู้จักพอ ชอบวิ่งไปตามกิเลสตัณหา วิ่งเท่าไรก็ไม่ทัน ก่อนนี้มีจักรยาน เราก็ว่าสบายดีแล้ว จากนั้นก็มีมอเตอร์ไซค์ มีรถปิกอัพ มีรถเก๋ง เปลี่ยนยี่ห้อโน้นทียี่ห้อนั้นที เพราะคนเราไม่รู้จักพอ
 ชาวพุทธยุคใหม่ ประกอบด้วย มือทอง ซึ่งหมายถึง ทำงานเก่ง ฝีมือดี ปากทอง หมายถึง พูดเก่ง พูดแล้วฟังสบายหู สบายใจ พูดแล้วเกิด "ช ๓" คือ ชอบ เชื่อ ช่วย คนคล้อยตามนำไปปฏิบัติ สมองเพชร คือ คิดเก่ง คิดสร้างสรรค์พัฒนา และคิดแก้ไขปัญหาต่างๆ กลเม็ดครองโลก คือ มีทีเด็ด มีศิลปะ มีเคล็ดลับในการครองใจคน
 “สิ่งสำคัญที่ขาดเสียไม่ได้ คือ ขาดสติ ชีวิตก็ขาดสิ้น อย่าใช้อารมณ์แก้ไขปัญหา ให้ใช้ปัญญาไตร่ตรอง อยู่อย่างมีปัญญา ปัญหาไม่มี อยู่ให้ดีต้องมี ย ๗ คือ อยู่อย่างมีปัญญา ยอมอย่างมีเหตุผล อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ใหญ่อย่างมีประโยชน์ อย่าหยิ่ง ยิ้มแย้มเยือกเย็น ยืดหยุ่น เยี่ยมเยียน หยิบยื่น ยกย่อง ถ้าใครทำได้ก็จะกลายเป็นผู้ยอดเยี่ยม และยิ่งใหญ่ แต่ถ้าใคร ขาด ย ๗ ก็จะกลายเป็น ยุ่งยากและย่ำแย่" ท่านเจ้าคุณวัดบึงกล่าวทิ้งท้าย
สามัคคีสิ้นลิจฉวีแตก     ในกาลโบราณ มีกษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงครอบครองแคว้นมคธ มีราชคฤห์เป็นเมืองหลวง พระองค์ทรงมีอำมาตย์ที่สนิทคนหนึ่งชื่อว่า วัสสการพราหมณ์ เป็นผู้ฉลาด และรอบรู้ศิลปศาสตร์ และเป็นที่ปรึกษาราชการทั่วไป พระเจ้าอชาตศัตรูมีพระราชประสงค์จะปราบแคว้นวัชชี อันมีพวกกษัตริย์ลิจฉวีปกครอง
 แต่พระองค์ยังลังเล พระทัยเมื่อได้ทรงทราบว่า กษัตริย์ลิจฉวีทุกๆ พระองค์ล้วน แต่ทรงตั้งมั่นอยู่ในธรรมที่เรียกว่า “อปริหานิยธรรม ๗” คือ ธรรมอันเป็นไปเพื่อเหตุแห่งความเจริญฝ่ายเดียว มีทั้งหมด ๗ ประการ
 ดังนั้น พระองค์จึงปรึกษาโดยเฉพาะกับวัสสการพราหมณ์ว่า ควรจะกระทำอย่างไร จึงจะหาอุบายทำลายเหตุแห่งความพร้อมเพรียงของพวกกษัตริย์ลิจฉวีได้ เมื่อได้ตกลงนัดแนะกับวัสสการพราหมณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 
 วันหนึ่ง พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จออกว่าราชการ จึงดำรัสเป็นเชิงหารือกับพวกอำมาตย์ ในเรื่องจะยกทัพไปรบกับแคว้นวัชชี มีวัสสการพราหมณ์เพียงผู้เดียวที่กราบทูลเป็นเชิงทักท้วง และขอให้พระองค์ทรงยับยั้งรอไว้ก่อน เพื่อเห็นแก่มิตรภาพและความสงบ ทั้งทำนายว่า ถ้ารบก็จะพ่ายแพ้ด้วย
 พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงฟังวัสสการพราหมณ์กราบทูลเป็นถ้อยคำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นนั้น ก็ทรงแสร้งแสดงพระอาการพิโรธ และมีพระราชโองการสั่งเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ฝ่ายนครบาลพร้อมด้วยราชบุรุษ ให้นำตัววัสสการพราหมณ์ไปลงโทษตามคำพิพากษา ในบทพระอัยการ คือ เฆี่ยน โกนผม ประจาน แล้วขับไล่ไปเสีย ไม่ให้อยู่ในพระราชอาณาเขต
 วัสสการพราหมณ์ยอมทนรับราชอาญาด้วยทุกขเวทนาแสนสาหัสถึงแก่สลบ เมื่อถูกเนรเทศออกจากแคว้นมคธก็เดินทางมุ่งตรงไปเมืองเวสาลี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นวัชชี และเที่ยวผูกไมตรีกับบรรดาชาวเมือง จนข่าวนี้ทราบไปถึงกษัตริย์ลิจฉวี จึงได้ตีกลองสำคัญขึ้นเป็นสัญญาณ เชิญกษัตริย์ทั้งปวงมาชุมนุมปรึกษาราชการ
 เมื่อกษัตริย์ลิจฉวีประชุมกันแล้ว ก็ได้ตกลงกันว่า ควรให้พราหมณ์ผู้นั้นเข้ามาเพื่อจะได้เห็นท่าทาง และฟังความดูก่อนว่า จะจริงเท็จอย่างไร
    ภายหลังที่วัสสการพราหมณ์ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ลิจฉวี และกราบทูลข้อความต่างๆ ด้วยความฉลาดลึกซึ้ง ประกอบกับมีรอยถูกโบยฟกช้ำให้เห็น กษัตริย์ลิจฉวีทุกพระองค์ต่างก็ทรงหมดความฉงนสนเท่ห์ว่า จะเป็นกลอุบาย จึงทรงตั้งให้เป็นครูสอนศิลปวิทยาแก่บรรดาราชกุมาร และกระทำราชการในตำแหน่งอำมาตย์ผู้พิจารณาพิพากษาอรรถคดีอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย 
 วัสสการพราหมณ์ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเต็มใจ และเอาใจใส่ จนเป็นที่ไว้ใจในหมู่กษัตริย์ลิจฉวี  เมื่อวัสสการพราหมณ์คาดคะเนว่า พวกกษัตริย์ลิจฉวีวางใจตนจนหมดความสงสัย วัสสการพราหมณ์จึงได้ดำเนินอุบาย เพื่อทำลายความพร้อมเพรียงเป็นอันเดียวกันของกษัตริย์ลิจฉวี โดยการแต่งอุบายลับ ชวนให้ฉงนสนเท่ห์ต่างๆ ขึ้น เป็นเครื่องยั่วยุราชกุมารทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ให้แตกร้าวกัน และวัสสการพราหมณ์คอยส่งเสริมเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทให้บังเกิดขึ้นในหมู่ราชกุมารอยู่เนืองนิตย์ 
 จนกระทั่งที่สุด ราชกุมารทุกพระองค์ก็แตกความสามัคคีกัน เป็นเหตุให้วิวาทกันขึ้น ครั้นแล้วต่างองค์ก็นำความนั้นขึ้นกราบทูลชนกของตนตามเรื่องที่เป็นมา เมื่อเป็นเช่นนั้น ความแตกร้าวก็ลามไปถึงบรรดาชนก ผู้ซึ่งเชื่อถ้อยคำโอรสของตนโดยปราศจากการไตร่ตรอง 
  จนกระทั่งเวลาล่วงไปสามปี สามัคคีธรรมในระหว่างพวกกษัตริย์ลิจฉวีก็ถูกทำลายสิ้น วัสสการพราหมณ์เห็นว่า กษัตริย์ลิจฉวีทุกองค์แตกสามัคคีกันแล้ว ก็ให้คนลอบนำความไปกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรู 
     พระเจ้าอชาตศัตรูก็กรีธาทัพสู่เมืองเวสาลี พวกชาวเมืองเวสาลีตกใจกลัวภัยอันเกิดแต่ข้าศึก   มุขมนตรีจึงได้ตีกลองสำคัญขึ้นเป็นอาณัติสัญญาณให้ยกทัพมาต่อสู้
 แต่เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีก็หาไปเข้าร่วมประชุมไม่ ต่างองค์ทรงเพิกเฉยเสีย แม้แต่ประตูเมืองทุกทิศก็ไม่มีใครสั่งให้ปิด
 พระเจ้าอชาตศัตรูจึงได้แคว้นวัชชีโดยง่าย ไม่ต้องเปลืองแรงรี้พล เพราะการรบเลย เมื่อจัดการบ้านเมืองราบคาบแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูก็ยกกองทัพเสด็จกลับกรุงราชคฤห์ดังเดิม
 "อยู่อย่างมีปัญญา ยอมอย่างมีเหตุผล อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ใหญ่อย่างมีประโยชน์ อย่าหยิ่ง ยิ้มแย้มเยือกเย็น ยืดหยุ่น เยี่ยมเยียน หยิบยื่น ยกย่อง"
เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"










NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

No comments:

Post a Comment

Blog Archive