Wednesday, February 6, 2013

ภูแวอลังการ ณ น่านเหนือ

ภูแวอลังการ ณ น่านเหนือ
                  กรุงเทพ-น่าน ดูเหมือนไกล แต่ไกลกว่านั้น เพราะต้องผ่านขึ้นไปถึง ภูแว ในเขตน่านเหนือ เพราะแม้จะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา แต่หน่วยย่อยภูแว อยู่ที่บ้านด่าน ในเขต ต.ขุนน่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ ที่อยู่ห่างออกไปถึง 63 กม. ยังกับคนละอุทยานกันแน่ะ                 ถึงหน่วยภูแว ก็ปาเข้าไปจวนเที่ยง หลังตกลงกับเจ้าหน้าที่ จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน ขอเจ้าหน้าที่นำทางกับลูกหาบ 2 คน เจ้าหน้าที่เราได้แน่ๆ แต่ลูกหาบต้องลุ้นไปหาก่อน กว่าลูกหาบจะมาเราก็จัดการมื้อเที่ยง เตรียมข้าวของเสร็จสรรพ                 ไม่บ่อย แต่ก็เกิดขึ้นได้เสมอ ที่เราจะเริ่มขึ้นเป้เมื่อบ่ายแก่ๆ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ขึ้นเป้ราว 14.00 น. จุดเริ่มต้นเป็นขั้นบันได ก่อนจะถึงทางดินกว้างๆ เหมือนแนวกันไฟ ไต่ทางชันขึ้นเรื่อยๆ กับแสงแดดยามบ่ายที่จัดจ้าน แค่เลี้ยวอ้อมเขาหันเข้าหาแสงอาทิตย์ ก็ทำเอาแรงหดหายไปอีกเกือบครึ่ง แม้จะมีวิวทิวเขาให้เป็นระยะ                 เดินไปได้พักใหญ่ๆ หลายหอบ ก็ถึง หมู่บ้านปู่ดู่ หมู่บ้านชนเผ่าลัวะ บ้านเรือนที่เห็นมีอยู่ไม่กี่สิบหลังคาเรือน แต่ตลอดทางหมู่บ้านดูสะอาดสะอ้าน กับต้นกุหลาบที่ออกดอกเป็นพวง แถมดอกใหญ่ ไม่ต้องพึ่งมาโคร บ้านเรือนริมทางที่เดินผ่าน จะมีติดสุภาษิตไทยๆ เอาไว้ด้วยเช่น "ขี่ช้าง จับตั๊กแตน"  "ไปลา มาไหว้"  ฯลฯ                 เท่าที่สังเกตุดู บ้านทุกหลังใช้นามสกุล "ใจปิง" เหมือนๆ กัน จนอดคิดไม่ได้ว่า เป็นพี่น้องกันทั้งหมู่บ้านเลยหรือเปล่าเนี่ยะ                 "อ๋อ ... คนที่หมู่บ้านนี้ นามสกุลเดียวกันหมดแหละ" พี่ฉัตรชัย (เจ้าหน้าที่) เล่าให้ฟัง  "ไม่รู้เหมือนกันว่า ต้นตอเลยเนี่ยะมาจากไหน แต่เห็นเล่ากันว่า คนที่มาบุกเบิกเนี่ยะ มาจากทางภูพยัคฆ์ ซึ่งอยู่คนละฝั่งเหนือขึ้นไปจากภูแวอีก สมัยนั้นยังมีพวกคอมมิวนิสต์ พอถูกกวนหนักๆ ก็เลยอพยพมาหาที่อยู่ตั้งรกรากใหม่ แล้วก็มีญาติๆ ตามมา"                 ผ่านหมู่บ้านไปถึงศาลา เพื่อนกลุ่มหนึ่งเดินมาถึงก่อนรออยู่แล้ว จากจุดนี้ เจ้าหน้าที่บอกว่า เหลือระยะทางอีกราวๆ 4 กม. จากทางเดินแดดร้อนๆ เริ่มร่มเย็นขึ้น เพราะเมฆที่ดูจะมากเอาการ แต่ระยะทางก็ยังไต่ขึ้นไม่หยุด ทำเอาฉันขอเดินปิดท้ายเหมือนเดิมดีกว่า เดินไปคุยกันไปกับเจ้าหน้าที่ สลับกับหยุดพักเมื่อหายใจเริ่มแรงขึ้น ลมเย็นพัดมาให้ชื่นใจ แม้ข้างทางที่เห็นจะมีต้นปรง รออยู่ กับนาข้าวภูเขาที่เก็บเกี่ยว เหลือแต่ซังข้าวแห้งๆ  เดินเลยไปหน่อยก็ยังเห็นเจ้าของที่นา กำลังนวดข้าวอยู่ หันมาดูเราเป็นแถว                 จากตรงนี้ ทางเริ่มลดความชัน เลาะเขาไปเรื่อยๆ ประมาณอย่าเดินพลาด เพราะอาจจะไปอยู่ก้นเหวได้                 ก่อนขึ้นเนินชันอีกรอบ เห็นมีแยกเล็กๆ ไปทางด้านซ้ายของเขา กับกิ่งไม้วางกั้นอยู่ เท่ากับบอกใบ้ว่า อย่าเผลอแยกไปทางนั้นนะ แต่พี่ฉัตรชัยบอกว่า "ไปทางนี้ก็ได้ ทางไม่ชันมาก แต่อ้อมไกลกว่า"                 "ไม่เป็นไรพี่ งั้นเดินขึ้นชันหน่อยแล้วกัน" แต่มารู้ว่าคิดผิด ก็ตอนเดินไม่พ้นความชันสักที ...สายเสียแล้ว  ฮา                 คราวนี้ พอเจอทางลัดที่พี่ฉัตรชัยถาม ฉันไม่รอช้าที่จะก้าวเดินไปทันที สักพักก็หลุดออกมาบรรจบกับทางหลัก เจอลูกหาบกำลังเดินอยู่ข้างหน้า "เออแฮะ มันลัดจริงๆ ด้วย"                     ขึ้นถึงสันเขา เจอกองขี้วัวแห้งๆ เห็นสโลปเขาสูงชัน มีต้นปรงกับสาบเสือขึ้นเต็ม เดินเลาะเข้าไปเรื่อย จนเจอกับต้นปรงที่แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของภูแว ใครผ่านไปก็ต้องถ่ายรูปด้วย สมัยเมื่อ 5 ปีก่อน ยังแตกยอดเป็นสองยอด แทงลงมาแล้วงอนขึ้น เหมือนกับงาช้างแมมมอธ แต่ให้หลังไม่นาน ยอดหนึ่งก็ถูกตัดทิ้งไป                    จากตรงนี้ เราเดินฉีกออกด้านข้าง แล้วก็ตัดขึ้นทางชัน พี่ฉัตรชัยบอกว่า "ทางชันอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว" แต่ฉันขอแวะพักทำใจตรงจุดพักที่ 7 เพราะแหงนหน้าดูแล้ว ระยะทางอีกราว 200 เมตร ที่ชันเอาการ วางเป้เสร็จ ก็งัดเอาลูกเสาวรสออกมาผ่า "พี่ชัย กินกระทกรกมั้ยพี่ ชุ่มคอๆ"                "โห...นี่เก็บขึ้นมาด้วยเหรอเนี่ยะ ผมเพิ่งเคยเห็นนะ อุตส่าห์แบกจากตีนดอยขึ้นมาเนี่ยะ"  5555                 เกือบ 5 โมงเย็น กับระยะที่เห็น พี่ชัยยังออกปากว่าเดินกันเร็ว เพราะออกช้ายังถึงเร็วกว่าชุดที่ขึ้นเมื่อวานที่ออกเร็วกว่าตั้งหลายชั่วโมง ...ลงท้ายกว่าจะถึงลานตั้งแคมป์ ก็พักหอบไปอีก 3 ยก ตอนแรกก็ว่าจะพักแค่ 2 ยก แต่พอเงยหน้ามองแล้ว ขอเพิ่มอีก 1 ยกก็แล้วกัน ฮา แต่ก็ยังทันได้เดินขึ้นไปถ่ายรูปดวงอาทิตย์ก่อนที่จะลับฟ้า หายไปกับสายหมอก      ค่ำคืนนี้ ไม่ต่างอะไรจากแคมป์กลางป่าหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา วงกับข้าวเริ่มต้น วงสนทนาเริ่มบรรเลง ใต้ฟรายชีตผืนเล็ก แต่อบอวลไปด้วยมิตรภาพ ยิ่งดึกยิ่งหนาว ชาสารพัดยี่ห้อ ลำเลียงมาชงชิม แกล้มกับข้าวโพดอบเนยร้อนๆ ควันฉุย แก้หนาวได้ชั่วคราว                 ค่อนดึก ฟ้าเริ่มเปิด ให้เราได้เห็นดาวระยิบระยับอยู่แค่เอื้อม ก่อนที่ดวงจันทร์จะส่องแสงมาบดบัง ยิ่งดึกน้ำค้างยิ่งลงจัด ทำให้เราคาดหวังในใจว่า พรุ่งนี้คงได้เห็นทะเลหมอกงามๆ ขอแค่ ..... ฟ้าเป็นใจ                     ราวตี 5 กว่าๆ เกือบ 6 โมง ก็ได้ยินเสียงกุกกักจากเต็นท์ข้างๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียกให้ตื่นไปดูทะเลหมอก สาวๆ 3 คนซึ่งรวมถึงฉันด้วย บิดขี้เกียจอิดออดกันอยู่พักหนึ่ง แค่รูดซิปเต็นท์ ลมหนาวก็กรูกันเข้ามาจนหน้าชา ต้องออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย                  ขอบฟ้าสีระเรื่อที่เห็น ทำให้เราเริ่มออกเดินขึ้นยอดสูง 1,748 ม. กว่าจะถึงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 นาที ไม่นานทะเลภูเขาก็ปรากฏเบื้องหน้า จากมุมที่มองย้อนกลับไปทางที่เดินขึ้นมา เห็นไปถึงภูแวน้อยลิบๆ อีกด้านเป็นทะเลหมอกที่ดูอลังการ ไม่น้อยหน้าที่ไหน  แสงระเรื่อขอบฟ้าปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วไม่นานเจ้าไข่แดงก็ปรากฏให้เห็น ลูบไล้ทะเลหมอกและทิวเขา ดูสวยงาม                 สันเขาที่ปรากฏ เห็นถึง ภูแวน้อย ที่อยู่ไม่ไกล แล้วยังมีสันเชื่อมต่อกันจนสามารถเดินไปลงที่บ้านมณีพฤกษ์ อีกฝั่งของภูแวได้ โดยใช้เวลาเดินราว 3 วัน 2 คืน อืมมม...น่าสนใจทีเดียว คราวหน้า ถ้ามีโอกาสมาอีก เราคงได้เดินเลาะระเบียงหินบนยอดภูแวน้อย                  ถ่ายรูปเล่นกันจนสาย ถึงได้เดินลงกัน มื้อเช้านี้ถึงขั้นทุบหม้อข้าว หลังจัดการมื้อเช้าก็เก็บแคมป์ แล้วยังไปเตร็ดเตร่แถวภูแวน้อยซะหน่อย ก่อนจะหันหัวกลับทางเก่า 2 ชั่วโมงกับขาเดินลงกับเส้นทางร่มๆ ที่ไม่กล้าบอกใคร เพราะอากาศแต่ละช่วงคงไม่เหมือนกัน                 เราอำลาภูแว หลังอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย ร่ำลาเจ้าหน้าที่ ที่ชักชวนให้ไปเยือนอีกครา  ....  ฉันไม่กล้ารับปาก  แต่ถ้ามีโอกาส  ฉันไม่พลาดแน่นอน   .................................................... ('ภูแว' อลังการ ณ น่านเหนือ : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง / ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์)                   

No comments:

Post a Comment

Blog Archive