Monday, December 10, 2012

BENTLEY CONTINENTAL GTC W12

BENTLEY CONTINENTAL GTC W12
เครื่องยนต์ขนาด 6 ลิตร W12 พละกำลังและประสิทธิภาพ การออกแบบด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เพิ่มความแข็งแกร่งของโครงสร้างแบบเปิดหลังคา ห้องโดยสารงานหัตถกรรมชั้นเลิศหรูหราเต็มระดับ อุปกรณ์สร้างความบันเทิงชั้นนำ การตกแต่งที่คล้ายกับรุ่นคูเป้ มาพร้อมกับความสะดวกสบาย ตัวถังได้รับการพัฒนาใหม่ให้มีความคล่องตัว เพื่อความสุนทรีย์ในการขับขี่ในรูปแบบเปิดประทุน... Bentley Continental GTC สร้างขึ้นจากความสำเร็จที่สืบทอดมาจากรุ่น GT โดยมีเครื่องยนต์ขนาด 6 ลิตร W12 บนเรือนร่างแบบเปิดประทุนหลังคาผ้าใบน้ำหนักเบา ทีมออกแบบและทีมวิศวกรให้ความใส่ใจในทุกๆ รายละเอียด คุณภาพของความเป็นรถเปิดประทุนที่สมบูรณ์แบบ Continental GTC มาพร้อมความหรูหรา สง่างาม และมีรูปลักษณ์ที่แข็งแกร่ง ใช้เทคนิคและเทคโนโลยีมาประกอบให้รถคันนี้มีความสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างปีกด้านหน้าทำจากอะลูมิเนียมโดยไม่ให้เห็นรอยต่อต่างๆ ส่งผลให้รถคันนี้ดูงดงามมากขึ้น ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ติดตั้งเป็นมาตรฐานมาจากโรงงาน โดยสามารถเลือกติดตั้งล้อขนาด 21 นิ้วลายอื่นๆ ซึ่งมีให้เลือกถึง 3 ลายเป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถเลือกติดตั้งได้สำหรับเพิ่มความเป็นสปอร์ต สำหรับรุ่น GTCภายในห้องโดยสารของรถเปิดประทุน 4 ที่นั่งคันนี้ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความกว้างขวางและหรูหรา ส่วนที่ประกอบด้วยหนังให้สัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลเป็นพิเศษ ลายไม้ต่างๆ มีให้เลือกสรรล้วนมาจากเนื้อไม้ชั้นเยี่ยม โลหะต่างๆ ที่ตกแต่งอยู่ภายในยังให้สัมผัสถึงความเย็นและสบายมือเมื่อยามสัมผัส พรมของมันยังให้สัมผัสถึงความประณีตในการตัดเย็บ สีหนังแบบนุ่มนวลเป็นพิเศษนี้มีให้เลือกถึง 17 สี (เป็นสีมาตรฐาน) หรือสามารถเลือกสีผสมได้อีก 6 สีเลยทีเดียว เนื้อไม้ตกแต่งมีให้เลือกถึง 7 รูปแบบ ชุดตกแต่งทั้งหมดได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญ ผ้าใบหลังคาได้รับการออกแบบใหม่ให้ออกมาในรูปแบบ multi-layered fabric hood เสริมทัพด้วยกระจก อคูสติกและแผงกันกระแทกด้านล่างเพื่อลดเสียงรบกวนGTC คือรถเปิดประทุนที่เน้นความหรูหรามีระดับและเรื่องของการใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งาน ห้องโดยสารด้านหลังได้รับการขยายที่พักขาให้มีความกว้างมากขึ้น ขนาดช่องเก็บของได้รับการขยายมากขึ้น หน้าจอแบบระบบสัมผัสเพื่อความบันเทิง touch-screen infotainment เข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติสำหรับผู้โดยสาร และการปิดหลังคาไม่ว่าจะอยู่ในอุณหภูมิใดๆ ก็ตาม เป็นต้น ด้วยตัวถังที่กว้างขึ้นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พวงมาลัยที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ช่วงล่างมีเสถียรภาพ และสร้างการขับเคลื่อนได้เป็นอย่างดี ระบบขับเคลื่อนของจีทีซีคันนี้มาในรูปแบบของการขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ advanced all-wheel drive system และกระจายแรงบิดไปทางด้านหลังมากกว่าคือ 40:60 rear torque bias (รุ่นที่แล้วกระจายในรูปแบบ 50:50) ส่งผลให้ลดการ understeer ระหว่างเข้าโค้งด้วยความเร็ว และทำให้ผู้ขับขี่สามารถบังคับรถได้ง่ายและมั่นคงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เครื่องยนต์ ขนาด 6 ลิตร twin-turbocharged W12 ถูกสร้างขึ้นเพื่อพละกำลังมหาศาล และความคล่องตัวนี้จะทำงานควบคู่ไปกับระบบส่งกำลังหรือระบบเกียร์แบบ QuickShift ใหม่ล่าสุดที่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วกว่าเดิม ส่งผลให้รถมีพละกำลังสูงสุดถึง 567 แรงม้า / 423 กิโลวัตต์ แรงบิด ‘wave of torque’ สูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 50 นิวตันเมตรเป็น 700 นิวตันเมตรเลยทีเดียว GTC เป็นหนึ่งใน Bentley Continental ที่มีเสน่ห์ เป็นเสมือนรุ่น showcase ของ Bentley ในเรื่องของการออกแบบ หลังคาประทุนได้รับการปรับแต่งใหม่ หากแต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของรถเปิดประทุนจากอังกฤษได้อย่างสมบูรณ์แบบ เทคโนโลยีหลากหลาย ประสิทธิภาพต่างๆ และการออกแบบโดยรวมของรถรุ่นนี้ จะทำให้ Bentley สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับผู้ที่หลงใหลในยนตรกรรมเปิดประทุนได้อย่าง แน่นอน Wolfgang Dürheimer ประธานกรรมการและกรรมการบริหารของ Bentley Motor กล่าวรูปลักษณ์ภายนอก เทคนิคการผลิตชั้นสูง อาทิ Super Forming (front wings) แบบอะลูมิเนียม ส่งผลให้รถมีความคมชัดและเห็นถึงเส้นสายของความทรงพลังได้อย่างชัดเจน ไฟหน้าแบบตาเพชร ที่มาพร้อมกับไฟ LED day-time running lights. ตะแกรงหน้าแบบแมทริกซ์ มาพร้อมกับรูปลักษณ์การออกแบบด้านหลังใหม่แบบ ‘double horse-shoe’ ที่เป็นเอกลักษณ์มาจากรุ่น Mulsanneห้องโดยสารที่หรูหราเต็มไปด้วยงานฝีมือชั้นเยี่ยมและใช้งานได้จริง มาพร้อมกับอุปกรณ์ให้ความบันเทิงชั้นนำครบครัน ภายใน มีแผงหน้าปัดและ dashboard หุ้มด้วยวัสดุหนังที่ให้สัมผัสแห่งความนุ่มนวล สีหลักมีให้เลือกสรรถึง 17 สี สีผสมมีให้เลือกสรรถึง 6 สี และมีลายไม้ให้เลือกสรรถึง 7 ลาย เบาะนั่งแบบ ‘cobra style’ ที่โดดเด่นเพิ่มความสะดวกสบายและเพิ่มที่ว่างให้กับห้องโดยสารมากขึ้น หน้าจอแบบระบบสัมผัส มาพร้อมกับอุปกรณ์ให้ความบันเทิง infotainment ที่มีหน่วยความจำถึง 30GB และยังมีระบบค้นหาเส้นทางแบบ satellite ที่จะค้นหาเส้นทางให้คุณได้อย่างว่องไว อีกทั้งยังสามารถทำงานร่วมกับระบบ Google Map ได้เป็นอย่างดี (อาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละตลาด) ระบบเครื่องเสียงชั้นนำที่มีคุณสมบัติที่โดดเด่นด้วย ลำโพงแบบ wide-frequency Balance Mode Radiator ใหม่ล่าสุดได้รับการติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน Revolutionary Dirac Dimensions™ DSP เพื่อเสียงอันไพเราะและสร้างความสุนทรีย์ในยามขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม (เครื่องเสียง Naim มอบเสียงระดับชั้นนำของเบนท์ลี่ย์)เครื่องยนต์ ขนาด 6 ลิตร W12 ที่มีพละกำลังมากยิ่งขึ้นและมาพร้อมกับระบบรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ FlexFuel อีกด้วย เครื่องยนต์ขนาด 6 ลิตร W12 twin-turbocharged และสร้างพละกำลังเครื่องยนต์ถึง 575PS.
(567แรงม้า/ 423กิโลวัตต์) และแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 700 นิวตันเมตร สามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้หลายรูปแบบ (FlexFuel capability) ไม่ว่าจะเป็น E85 biofuel น้ำมันเชื้อเพลิงเบนซิน หรือสามารถเติมผสมทั้งสองรูปแบบได้ อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ในเวลาเพียงแค่ 4.8 วินาที อัตราเร่งจาก 0-160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ในเวลาเพียงแค่ 10.9 วินาทีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 314 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบส่งผ่านกำลังแบบ ZF 6HP28 transmission มาพร้อมกับระบบ ‘Quickshift’ ในการลดระยะเวลาการทดเกียร์ลงถึง 50% และสามารถลดลงถึงสองเท่าตัวหากลดระดับเกียร์ลง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และระบบกระจายแรงบิดใหม่ล่าสุดเน้นทางด้านหลัง 40:60 เพื่อช่วยในการลดอาการ understeer เมื่อต้องเข้าโค้งด้วยความเร็วและช่วยในการควบคุมพวงมาลัยเพิ่มความกว้างทั้งด้านหน้าและด้านหลังเพื่อการทรงตัวและการรักษาเสถียรภาพของรถ ให้ได้มากยิ่งขึ้น ระบบ Advanced ESC system เพื่อทำให้เครื่องยนต์ W12 นี้ทรงพลังมากยิ่งขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของตัวถัง ล้ออัลลอยด์ขนาด 20” แบบ ‘Five Spoke’ หรือสามารถเลือกติดตั้งล้อขนาด 21” แบบ ‘Five Spoke Two-Piece’ หรือลาย ‘Seven Spoke Elegant’ หรือ ‘Ten Spoke Propeller’ ได้ราย ละเอียดของคอนติเนนทัล จีทีซี (CONTINENTAL GTC) 6 ลิตร W12 “จีทีซี (GTC) คือเบนท์ลี่ย์อีกหนึ่งรุ่นที่สง่างามด้วยรูปลักษณ์เปิดประทุนที่ลงตัว มีความคล่องตัวสูง และมีสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่มากกว่าเดิม รูปลักษณ์ที่กว้างขึ้น ตัวรถที่ต่ำลงและล้อที่ใหญ่ขึ้นทำให้รถมีความเป็นสปอร์ตที่สมบูรณ์แบบไม่ว่า จะขับเคลื่อนในรูปแบบเปิดหรือปิดประทุนก็ตาม Dirk van Braeckel, ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ Bentley Motor กล่าว รูปลักษณ์ภายนอกเส้นสายต่างๆ ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Continental GT คูเป้ ทรงพลังและมีรูปทรงงดงาม สร้างความมั่นใจในการขับเคลื่อนไปทุกสภาวะของถนน มิติ และรูปทรงของปีกหน้าที่ไม่มีรอยต่อ ด้านหลังใช้รูปแบบ ‘double horse-shoe’ สื่อให้เห็นถึงความคลาสสิก สีใหม่มาพร้อมกับล้อใหม่ที่เจ้าของสามารถให้เลือกติดตั้งได้ รวมไปถึงล้อขนาด 20” ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานให้กับรถ ความท้าทายสำหรับทีมออกแบบภายใต้การนำของ Dirk van Braeckel ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบคือการสร้างรถคันนี้ให้กลายเป็นไอคอนของงานศิลปะและ ต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นให้ได้ แรงบันดาลใจมาจากรุ่น Continental GT Coupe ที่เพิ่งเผยโฉมสู่ตลาดเมื่อปีที่ผ่านมา ความโดดเด่นของ GT หลายอย่างได้ถูกนำใช้ใน Continental GTC รุ่นเปิดประทุน ส่งผลให้รถคันนี้กลายเป็นผลงานชั้นเยี่ยม ทำให้นึกย้อนไปถึงรุ่น R-Type Continental ที่เป็นตำนานในปี 1950s ในขณะที่ Continental GTC รุ่นแรกนั้นเต็มไปด้วยความสง่างาม สำหรับรุ่นใหม่นี้ได้รับการออกแบบโดยเน้นให้มีความทันสมัยและร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านี้การออกแบบยังเน้นในเรื่องของความคลาสสิก ความสมบูรณ์แบบ ความคมชัด กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งมากขึ้น ความเป็นสปอร์ต และความมั่นใจขณะขับขี่บนท้องถนนอีกด้วย โดยรวมของรถนั้นได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่หมด แม้เส้นสายของรถอาจจะให้ความรู้สึกเหมือนรุ่นเดิมอยู่บ้าง แต่ตัวรถรุ่นใหม่นี้จะมีความกว้างและยาวมากยิ่งขึ้น ความโค้งมนที่กลมกลืนและยาวไปจนถึงด้านหลังรถซึ่งมอบความรู้สึกโฉบเฉี่ยว และคล่องตัวของรถได้เป็นอย่างดี กระจังหน้าตะแกรงลวดลายแมทริกซ์สุดคลาสสิกจะมีกรอบของรูปแบบไฟหน้าใหม่ ล่าสุดคลุมไว้ โดยรูปแบบนี้จะมีไฟสีดวงที่เป็นเอกลักษณ์ และมาพร้อมกับระบบไฟแบบ LED daytime-running lampsปีกรถทางด้านหน้าทำจากอะลูมิเนียมด้วยเทคโนโลยีชั้นนำที่เรียกว่า Superforming โดยเทคโนโลยีนี้จะทำการเพิ่มความร้อนให้กับอะลูมิเนียมเกือบถึง 500 องศาเลยทีเดียว จากนั้นจะทำการจัดทรงด้วยการใช้แรงดัน และทำการติดเข้ากับแผงตัวถังรถ อีกทั้งเทคโนโลยีนี้ยังมีความโดดเด่นด้วยการใช้อะลูมิเนียมเพียงแผ่นเดียวโดย ไม่มีรอยต่อเลยอีกด้วย ส่งผลให้รถดูมีรูปทรงที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นอีกด้วย รูปลักษณ์ทางด้านข้างได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Bentley Mulsanne และหากมองทางด้านหลังของรถจะพบกับรูปลักษณ์ที่ทรงพลังในรูปแบบ ‘double horse-shoe’ ที่เข้ากับไฟหลังได้อย่างลงตัว ต่ำลงมาจะพบกับปลายท่อที่โดดเด่นอีกด้วยเช่นกัน ‘Transparent’ ของระบบมีเดีย และสัญญาณ GPS ถูกจัดเก็บไว้ที่โครงช่องเก็บสัมภาระด้านหลัง ส่งผลให้รถมีรูปทรงที่ดูราบรื่นและมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ลงตัวกว่ารถเปิดประทุนคันอื่นๆ หลังคาผ้าใบมีให้เลือกถึง 8 สี เปิด-ปิดได้ในเวลาเพียงแค่ 25 วินาทีเท่านั้น ซึ่งสามารถเปิด-ปิดได้จนกระทั่งรถใช้ความเร็วสูงสุดที่ 32 กิโลเมตร/ชั่วโมง การออกแบบของหลังคาได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก Bentley Continental GTC Super Sport เปิดประทุนรุ่น Ice Speed Record ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรถที่วิ่งได้ดีที่สุดในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 30 องศา ด้วยความเร็ว 330.695 กิโลเมตร/ชั่วโมง เส้นสายของ GTC ไหลลื่นเป็นเส้นเดียวกัน หลังคาถูกปิดสนิทโดยไม่เห็นจุดล็อก เก็บใต้ฝาปิดอย่างเรียบร้อย กระจกหลังรูปแบบ Heated glass มีไฟส่องสว่างในรถเมื่อหลังคาปิดลง สำหรับระบบให้ความร้อน/เย็น (heating/ventilation system) จะทำการปรับเปลี่ยนการกระจายอากาศและลมรวมไปถึงระดับความแรงของลมแบบ อัตโนมัติ รถ Continental GTC ติดตั้งล้อขนาด 20 นิ้วมาเป็นมาตรฐาน อีกทั้งยังสามารถเลือกติดตั้งล้อขนาด 21 นิ้วเป็นอุปกรณ์เสริมได้ ล้อมีให้เลือกถึง 4 รูปแบบ ยาง Pirelli P Zero ขนาด 275/40 ZR20 และ 275/35 ZR21 ตามลำดับ Bentley ร่วมทำงานและพัฒนาวิจัยร่วมกับบริษัทยางชั้นนำ Pirelli อย่างหนัก เพื่อให้รถวิ่งไปได้อย่างสมบูรณ์แบบหากลูกค้าเลือกติดตั้งล้อขนาด 21 นิ้วการออกแบบภายนอกมีความโดดเด่นและผ่านการวิเคราะห์จากท่อหรือช่องสำหรับ ใส่ลมเข้าเพื่อวัดกำลังและทิศทางลมของรถยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรถตาม หลักอากาศพลศาสตร์อีกด้วยห้องโดยสารที่หรูหรา ออกแบบให้ใช้งานได้จริง และเต็มไปด้วยงานฝีมือชั้นเยี่ยม ภายในห้องโดยสารเต็มไปด้วยงานฝีมือชั้นเยี่ยมและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ลายไม้ลายใหม่ และสีหนังที่มีให้เลือกสรรมากมาย การออกแบบภายในห้องโดยสารใหม่เน้นการใช้งานได้จริงมากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มที่ว่างสำหรับผู้โดยสารและเพื่อความเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากขึ้นอีกด้วย ระบบระบายอากาศ Neck Warmer air-flow system เพื่อความสะดวกสบายและสุนทรีย์เมื่อเปิดประทุน เป้าหมายของทีม styling ที่มี Robin Page, Head of Interior Design เป็นผู้นำทีมคือการสร้างห้องโดยสารให้มีความคล่องตัวมากขึ้น มีความร่วมสมัยมากขึ้น มีความสะดวกสบายมากขึ้น มีคุณภาพและเต็มไปด้วยงานฝีมือชั้นเยี่ยม และมีรูปลักษณ์การออกแบบภายในที่หรูหรามาเป็นมาตรฐานให้กับรถหลักสำคัญของ การออกแบบคือการผสมผสานรูปลักษณ์ภายในและภายนอกขณะเปิดประทุนให้ได้อย่างลงตัวมากที่สุด ทุกๆ เส้นสายของรถและรูปลักษณ์ภายในห้องโดยสารต้องเข้ากันได้อย่างลงตัวตั้งแต่ ด้านหน้าจรดด้านหลังของตัวรถ ความเป็นเบนท์ลี่ย์ที่ถูกสะท้อนออกมาตั้งแต่แผงประตูจนถึงแผงหน้าปัดรถ ประตูได้รับการออกแบบใหม่และยังถูกออกแบบมาให้สามารถเรียกใช้งานได้อย่างคล่องตัว ภายในห้องโดยสารได้รับการตกแต่งด้วยงานฝีมือชั้นเยี่ยม อาทิ การเย็บตะเข็บที่ดูสวยงามหรูหราจากช่างฝีมือที่ประณีต หลากหลายชิ้นส่วนถูกผลิตขึ้นจากงานฝีมือที่หรูหรา ทุกๆ รายละเอียดได้รับความใส่ใจและถูกสรรสร้างขึ้นเพื่อให้อำนวยความสะดวกสบายได้ มากที่สุดและแน่นอนต้องเต็มไปด้วยคุณภาพ ซึ่งสีหนังมีให้เลือกสรรถึง 17 สีเป็นสีมาตรฐานให้เลือกติดตั้ง และมีสีผสมให้เลือกสรรถึง 6 สีด้วยเช่นกัน ลายไม้ชั้นดีมีให้เลือกสรรถึง 7 ลายไม้ และแน่นอนชิ้นส่วนทุกชิ้นจะถูกผลิตขึ้นที่โรงงานเบนท์ลี่ย์ ณ เมือง Crewe ประเทศอังกฤษระบบเครื่องเสียงในรถ GTC มีความโดดเด่นเปี่ยมไปด้วยพลังเสียงในระดับสูงสุด ลำโพงมาตรฐานมี 8 ตัวและมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า Balanced Mode Radiator technology เพื่อความถี่ของเสียงที่เพิ่มมากขึ้น Naim คือระบบเสียงระดับพรีเมี่ยมสำหรับรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มาพร้อมกับลำโพง 10 ตัวและสัญญาณดิจิตอล revolutionary DiracDimensions™ ที่จะผลิตเสียงคุณภาพชั้นนำให้กับทุกตำแหน่งของที่นั่งภายในห้องโดยสารอีก ด้วย GTC มีระบบชั้นนำต่างๆ และมีความสามารถในการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ได้ ระบบทีวีแบบดิจิตอล และ DVD Movie playback เพลง สามารถเรียกฟังและควบคุมได้โดยตรงจาก iPod® รวมถึงเครื่องเล่น CD แบบ 6 แผ่นหรือการ์ดหน่วยความจำแบบ SD อีกทั้งยังสามารถเรียกใช้งานโดยตรงจาก hard drive ของรถที่มีหน่วยความจำในการเก็บข้อมูลเพลงถึง 15GB การปรับแต่งที่คล้ายกับคูเป้หลังคาผ้าใบแบบ multi-layered ชิ้นส่วนแบบ Acoustic materials เพื่อการพัฒนาในเรื่องของการลดและเก็บเสียง หนังระดับพรีเมี่ยมที่มีประสิทธิภาพในเรื่องของสัมผัสและกลิ่นที่ดีเยี่ยมBentley Continental GTC ได้รับการปรับแต่งห้องโดยสารใหม่ให้มีสมรรถนะในเรื่องของความเงียบและการเก็บเสียงจากภายนอกได้เป็นอย่างดี เสียงของลมและเสียงที่เกิดจากท้องถนนถูกสกัดกั้น ไม่ว่าจะเป็นกระจกใหม่ล่าสุด แผ่นป้องกันทางด้านล่างของตัวรถ และลายซุ้มล้อ ยิ่งกว่านั้นทุกประตูและขอบกระจกได้รับการพัฒนาใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อีกจุดประสงค์หลักของการออกแบบห้องโดยสารใหม่คือเพิ่มคุณภาพให้กับทุกชิ้น ส่วนในรถ และคำตอบที่ทีมออกแบบได้ในการพัฒนานี้คือ การเพิ่มคุณภาพให้กับทุกชิ้นส่วน หนังใหม่ล่าสุดที่มีความหรูหรานุ่มนวลยามสัมผัส และมีกลิ่นที่หอม กระบวนการหลักๆ ของการสร้างสรรค์รถคันนี้คือการสร้างให้รถมีความเหมาะสมในการใช้งานในชีวิต ประจำวันให้ได้มากที่สุด และเหมาะสมกับความคาดหวังของลูกค้าที่มีต่อรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ที่หรูหราคัน นี้ ดังนั้นห้องโดยสารจึงได้รับการปรับเปลี่ยน โดยการย้ายบางชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นออกเพื่อให้รถมีน้ำหนักที่เบาลง เพิ่มที่ว่างและพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นอีกด้วย เบาะด้านหน้าออกมาในรูปแบบ ‘Cobra style’ มาพร้อมกับที่พนักพิงพักศีรษะที่บางลงจาก Bentley Continental GTC รุ่นเดิมข้างละ 25 มิลลิเมตร ทำให้ที่พักขาและเข่าของผู้โดยสารทางด้านหลังขยายเพิ่มมากขึ้น เบาะนั่งทางด้านหน้ามีขนาดที่พักขาเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากการออกแบบแผง Dashboard ในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘scalloping’ ด้วยเช่นกัน เบาะนั่งมีความสะดวกสบายมากขึ้นเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ ล่าสุดในรูปแบบ multi-layer foams และถือเป็นครั้งแรกที่นำมาใช้ในรุ่น GTC เป็นครั้งแรก เจ้าของยังสามารถเลือกติดตั้งระบบเบาะพ่นลมให้กับเบาะคู่หน้าที่มาพร้อมกับ ฟังก์ชั่นการนวดเป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถเลือกติดตั้งได้ระบบให้ความบันเทิงแบบชั้นนำ หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว เพื่อความสะดวกในการใช้งานและเพิ่มความปลอดภัยขณะใช้งานระบบค้นหาเส้นทาง ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงทำงานควบคู่ไปกับ Google maps (ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละตลาดด้วย) หน่วยความจำขนาดใหญ่ถึง 30GB เทคโนโลยี Balanced Mode Radiator technology ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับรถ ครั้งแรกในอุตสาหกรรมรถยนต์กับ Dirac Dimensions™ digital signal processing จาก Naim for Bentley รถ GTC ได้รับการติดตั้งระบบความบันเทิงชั้นนำหรือ advanced in-car infotainment มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน มีหน่วยความจำ on-board hard drive ถึง 30GB ระบบเครื่องเสียงของรถการใช้งานโทรศัพท์ และฟังก์ชั่นการขับขี่จะถูกแสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 8 นิ้วที่สามารถควบคุมการใช้งานได้ด้วยระบบสัมผัสเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ระบบค้นหาเส้นทางมาพร้อมกับการป้อน postcode 7 หลัก และรูปภาพของแผนที่ที่แสดงออกมาด้วยความละเอียดสูง เส้นทางต่างๆ ถูกบันทึกไว้ใน in-car hard-disc drive และรูปภาพต่างๆ จะถูกเรียกมาจากการ์ดหน่วยความจำ SD และระบบค้นหาเส้นทางนี้ยังสามารถทำงานร่วมกับระบบ Google Maps ได้ (อาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละตลาด) เครื่องยนต์ ขนาด 6.0 ลิตร W12 ที่ทรงพลังและเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ พละกำลังเครื่องยนต์และแรงบิดที่เพิ่มมากขึ้นจากเครื่องยนต์ขนาด 6 ลิตร W12 ลดการปล่อยมลพิษ เทคโนโลยีการรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ Bentley FlexFuel technology ที่สามารถรองรับทั้ง E85 หรือน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซิน หรือผสมทั้ง 2 รูปแบบ ระบบส่งผ่านกำลังหรือระบบเกียร์ใหม่ล่าสุดแบบ QuickShift ลดระยะเวลาการเปลี่ยนเกียร์ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่เน้นการกระจายแรงบิดไปทางด้านหลังมากกว่า เพื่อการทรงตัวและเกาะถนนที่ดี Continental GTC สรรสร้างออกมาเพื่อตอบสนองลูกค้าที่ค้นหารถเปิดประทุนซุปเปอร์คาร์ที่เหมาะสม กับการใช้งานในทุกๆ วัน ขนาดเครื่องยนต์ในจีทีซี (GTC) ใหม่คันนี้มีขนาดเครื่องยนต์ที่ 6 ลิตร W12 twin-turbo petrol engine มีพละกำลังที่มากกว่ารุ่นเดิมจาก 560 PS เป็น 575 PS (567 แรงม้า/ 423 กิโลวัตต์) แรงบิดเพิ่มขึ้น 50 นิวตันเมตรเป็น 700 นิวตันเมตร เครื่องยนต์ W12 มีความกะทัดรัด ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ชิ้นส่วนภายในที่เคลื่อนไหวผลิตจากโลหะที่แข็งเป็นพิเศษ เพลาลูกเบี้ยว 4 เพลา 48 วาล์ว เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่นและช่วยผลิตแรงบิดเพิ่มขึ้น ระบบขับเคลื่อนออกมาในรูปแบบระบบขับเคลื่อนสี่ล้อกับระบบส่งผ่านกำลัง 6 สปีดแบบ QuickShift ซึ่งเป็นระบบขับเคลื่อนในรุ่น Continental Super sports อัตราการทดเกียร์ทำได้รวดเร็วในเวลา 200 มิลลิวินาที กล่องเกียร์ได้รับการปรับปรุงเพื่อช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วและพัฒนา อัตราเร่งของเกียร์ให้ดียิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คืออัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 4.8 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 314 กิโลเมตร/ชั่วโมงระบบการกระจายแรงบิดได้รับการ พัฒนามาจากรุ่นซุปเปอร์สปอร์ต (Supersports) ด้วยเช่นเดียวกัน โดยจะมีการกระจายแรงบิดในรูปแบบ 40:60 และเน้นไปทางด้านหลังสำหรับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (รุ่นเดิมมีอัตราการกระจายแรงบิดในรูปแบบ 50:50) ด้วยระบบขับเคลื่อนที่ได้รับการพัฒนาใหม่นี้เองที่ทำให้รถสามารถลดการ Understeer ระหว่างการเข้าโค้งที่หนักหน่วงได้ และช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้อย่างแม่นยำและง่ายดาย เครื่องยนต์ขนาด W12 สามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ Gasoline หรือ E85 bioethanol หรือสามารถรองรับการเติมแบบผสมผสานทั้งสองรูปแบบใน 1 ถังได้ เทคโนโลยี FlexFuel นี้เองที่ช่วยให้ลดอัตราการปล่อยมลพิษได้มากขึ้น 70% ระบบ Fuel Quality Sensor จะทำการตรวจสอบอัตราการใช้น้ำมันอย่างต่อเนื่อง และทำงานร่วมกับ Engine Control Unit เพื่อทำการปรับเปลี่ยนเวลาของเครื่องยนต์ ส่งผลให้รถสามารถสร้างพละกำลังของเครื่องยนต์และแรงบิดให้มีความแน่นอนและคงที่ ไม่ว่าจะเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแบบใด ตัวรถมีความหนึบและเกาะถนนเพื่อคุณภาพในการขับขี่ที่ดีตัวรถกว้างขึ้น 48 มิลลิเมตร (ด้านหลังรถ) และ 41 มิลลิเมตร (ด้านหน้ารถ) พัฒนาปรับปรุงระบบกันสะเทือนใหม่ เพื่อความคล่องตัวและรักษาเสถียรภาพของรถได้มากยิ่งขึ้น ระบบควบคุมพวงมาลัยถูกปรับแต่งขึ้นใหม่ให้มีประสิทธิภาพและความแม่นยำมากขึ้น ระบบ ESC ยังคงทำงานอยู่แต่น้อยลง เพื่อให้การขับขี่น่าตื่นเต้น เร้าใจ ประสบการณ์ในการขับขี่ที่ว่องไวและคล่องตัวคือสิ่งที่ Bentley ทุกคันต้องมี แต่สำหรับรถเปิดประทุนนั้นแน่นอนว่าความท้าทายในการพัฒนาย่อมมีมากกว่า ตัวถังของรถ GTC เปิดประทุนมีความหนึบและเกาะถนนมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการควบคุมรถ ส่วนประกอบของระบบช่วงล่างได้รับการปรับปรุงพัฒนาเพื่อเพิ่มความคล่องตัว ควบคู่ไปกับการทรงตัวให้ได้มากที่สุด การเพิ่มความกว้างให้กับรถควบคู่ไปกับการใช้ช่วงล่างที่ทำจากอะลูมิเนียมแบบ high-stiffness aluminium cast-forged suspension ทำให้รถสามารถตอบสนองได้ดี มีเสถียรภาพ และเกาะถนน พวงมาลัยและการหมุนเลี้ยวของรถมีความแม่นยำและคมชัดในการเลี้ยว ระบบการควบคุมเสถียรภาพรถแบบไฟฟ้าหรือ Electronic Stability Control System ได้รับการพัฒนาเพื่อสร้างความสุนทรีย์ในการขับขี่ให้กับผู้ขับขี่ ระบบควบคุมการสั่นสะเทือน Continuous Damping Control (CDC) ได้รับการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากเครื่องลดการสั่นสะเทือนแบบไฮดรอลิกส์ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การขับขี่รถมีความสะดวกสบาย และสามารถควบคุมให้คล่องตัวในขณะใช้ความเร็ว ระบบความปลอดภัย ถุงลมนิรภัย 5 ชิ้น รวมไปถึงแผงป้องกัน Kneebag ให้กับผู้ขับขี่ซึ่งติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แผงป้องกัน Roll Over Protection System (ROPS) ติดตั้งอยู่หลังที่พักศีรษะทางด้านหลังข้อมูลเฉพาะทางเทคนิคเครื่องยนต์เครื่องยนต์: 6 ลิตร twin-turbocharged W12พละกำลังสูงสุด: 567แรงม้า / 423กิโลวัตต์ / 575PS ที่รอบเครื่องยนต์ 6000 รอบต่อนาทีแรงบิดสูงสุด: 700นิวตันเมตร / 516lb/ft ที่รอบเครื่องยนต์ 1700 รอบต่อนาทีระบบส่งผ่านกำลังระบบ เกียร์อัตโนมัติ ZF 6 สปีด มาพร้อมกับการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและแม่นยำ (QuickShift) รวมถึงพวงมาลัยที่ติดตั้งก้านเกียร์มาด้วยระบบขับเคลื่อน : ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Continuous all-wheel drive (40:60 เน้นทางด้านหลัง)อัตราการทดเกียร์:เกียร์ 1. 4.17เกียร์ 2. 2.34เกียร์ 3. 1.52เกียร์ 4. 1.14เกียร์ 5. 0.87เกียร์ 6. 0.69Final drive: 3.526โครงสร้างตัวรถเหล็กโมโนคล๊อค เบรกด้านหน้า: จานเบรกระบายความร้อน 405 มิลลิเมตร (หรือ 420 มิลลิเมตร Carbon Silicon Carbide, cross drilled)ด้านหลัง: จานเบรกระบายความร้อน 335 มิลลิเมตร (หรือ 356 มิลลิเมตร Carbon Silicon Carbide, cross drilled)ล้อและยาง9.5J x 20” (หรือ 9.5J x 21”)Pirelli P Zero 275/40ZR 20 (หรือ 275/35 ZR21) ระบบพวงมาลัยชนิด: rack & pinion, power assisted, speed-sensitive ZF servotronicหมุนจาก lock to lock: 2.6 รอบหมุนรอบวง: 11.3เมตรระบบกันสะเทือน (SUSPENSION) ด้านหน้า: ช่วงล่างแบบปีกนก Four link double wishbones, ควบคุมการลดระดับของช่วงล่างแบบถุงลมโดยระบบคอมพิวเตอร์, anti-roll-bar.ด้านหลัง: ช่วงล่าง Trapezoidal multi-link, ควบคุมการลดระดับของช่วงล่างแบบถุงลมโดยระบบคอมพิวเตอร์, anti-roll-bar.ขนาดฐานล้อ 2746 มิลลิเมตรความยาวโดยรวม 4806 มิลลิเมตรความกว้าง 1943 มิลลิเมตรความกว้างรวมกระจกข้าง 2227 มิลลิเมตรความสูงโดยรวม 1403 มิลลิเมตรความจุถังน้ำมัน 90 ลิตรความจุของที่เก็บสัมภาระ 260 ลิตรน้ำหนักรถเปล่า (EU) 2495 กิโลกรัม / 5501 lb น้ำหนักรถรวม 2900 กิโลกรัม / 6393 lbประสิทธิภาพความเร็วสูงสุด: 314 กิโลเมตร/ชั่วโมง0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง: 4.8 วินาที0 – 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง: 10.9 วินาที60 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง: 2.5 วินาที80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง: 3.1 วินาที อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงตามรูปแบบวงจรการขับขี่ EUในเมือง 25.4 l/100 กิโลเมตรนอกเมือง 11.4 l/100 กิโลเมตรในเมืองผสมกับนอกเมือง 16.5 l/100 กิโลเมตรอัตราการปล่อย CO2 384กรัม / กิโลเมตรอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงตามรูปแบบวงจรการขับขี่ EPA ขับขี่ในเมือง 11 ไมล์ต่อกรัม (US)ขับขี่บนทางหลวง 19 ไมล์ต่อกรัม (US)ผสมผสานทั้งสองรูปแบบ 14 ไมล์ต่อกรัม (US)ระบบควบคุมมลพิษEU 5 และ US LEV 11สำหรับประเทศไทย ท่านสามารถค้นหาความงามและความโดดเด่นอย่างหรูหรามีระดับของ Bentley ได้ที่ บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Bentley อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย.อาคม รวมสุวรรณE-Mail chang.arcom@thairath.co.thFacebook https://www.facebook.com/chang.arcom 

No comments:

Post a Comment

Blog Archive