Tuesday, December 4, 2012

เสด็จออกมหาสมาคม 5 ธันวาฯ ชมพระบารมีพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย

เสด็จออกมหาสมาคม 5 ธันวาฯ ชมพระบารมีพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย
ในทุกปีของเดือนธันวาคม นอกจากชาวไทยจะร่วมกันถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพแล้ว สิ่งหนึ่งที่คนไทยต่างเฝ้ารอก็คือ การเสด็จออกมหาสมาคมเพื่อทรงมีพระราชดำรัสกับพสกนิกรชาวไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งพระราชดำรัสในทุกๆ ปีที่พระองค์ตรัสในการเสด็จออกมหาสมาคมที่ผ่านมา จนกระทั่งวันนี้ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ชาวไทยน้อมรำลึก และหยิบนำมาเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตมาโดยตลอดหากย้อนไปตั้งแต่สมัยที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ การเสด็จออกมหาสมาคมของพระองค์ในแต่ละครั้ง ล้วนแต่มีความหมายยิ่งนัก เพราะไม่บ่อยที่พระองค์จะทรงออกมหาสมาคมให้ชาวไทยได้ชื่นชมพระบารมี วันนี้ไทยรัฐออนไลน์จึงได้รวบรวมการเสด็จออกมหาสมาคมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสพิเศษต่างๆ28 เมษายน 2493 เวลา 16.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงออกมหาสมาคม ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบเต็มยศ ประทับพระราชอาสน์ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระบรมหาราชวัง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์เข้าเฝ้าฯ ในวันเดียวกันทรงออกมหาสมาคมอีกครั้ง ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมหาราชวัง เพื่อให้บรรดาองคมนตรี, คณะรัฐมนตรี, สมาชิกรัฐสภา, คณะทูตานุทูต และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เข้าเฝ้าฯ ด้วย 5 พฤษภาคม 2493 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ พร้อมเครื่องแบบเต็มยศ ประทับพระราชบัลลังก์ บนพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ เหนือพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร ซึ่งตั้งอยู่หน้าพระที่นั่งบุษบกมาลามหาจักรพรรดิพิมาน เบื้องหลังพระวิสูตร ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมหาราชวัง ซึ่งในกาลนั้นพระองค์ได้ตรัสต่อพสกนิกรชาวไทยไว้ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ซึ่งถือเป็นคำมั่นสัญญาที่พระองค์ทรงมีต่อคนไทยตลอดเวลาการครองราชย์จนกระทั่งทุกวันนี้7 พฤษภาคม 2493 ถัดมาอีก 2 วันหลังจากที่พระองค์เสด็จออกมหาสมาคม เพื่อประกาศการครองราชย์อย่างเป็นทางการไปแล้ว ต่อมาในวันที่ 7 พฤษภาคม 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ ได้เสด็จออก ณ สีหบัญชร ณ พระที่นั่งสุทไ​ธสวรรยปราสาท พระบรมมหาราชวัง ในเวลา 17.00 น. ซึ่งเป็นครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบัน18 ตุลาคม 2499เสด็จออกสีหบัญชร ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท เพื่อแจ้งพระราชดำริในการเสด็จออกบรรพชาอุปสมบท โดยมีพระราชดำรัสใจความสำคัญว่า ข้าพเจ้าขอแถลงดำริที่จะบรรพชาอุปสมบทในพระศาสนาให้ทราบ โดยที่พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติของเรา ทั้งตามความศรัทธาเชื่อมั่นของข้าพเจ้าเองก็เห็นเป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่ง เนื่องในบรรดาสัจธรรมคำสั่งสอน อันชอบด้วยเหตุผล จึงคิดอยู่ว่าถ้าโอกาสอำนวย ข้าพเจ้าควรจักได้บวชสักเวลาหนึ่งตามราชประเพณี ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 249919 มกราคม 2504เสด็จออกสีหบัญชรงานสมโภชเนื่องในการเสด็จนิวัตพระนคร หลังจากที่ทรงเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจ เสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรป ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต โดยมีพสกนิกรทุกหมู่เหล่าเข้าเฝ้าฯ ซึ่งในกาลนี้พระองค์ได้มีพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า “ประเทศไหน ประชาชนพลเมืองมีความสามัคคีกลมเกลียวกันดี มีระเบียบวินัยดี ประเทศนั้นก็เจริญ และอยู่ในฐานะดี ยิ่งมีความสมัครสมานกลมเกลียวกันมากก็ยิ่งเจริญมาก จึงเห็นได้ว่าความสามัคคีกลมเกลียวกันในระหว่างคนในชาติ และความเข้าใจรักษาระเบียบวินัยนี้ ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่ง ที่จะช่วยนำประเทศชาติสู่ความวัฒนาถาวร”5 ธันวาคม 2506 เสด็จออกมหาสมาคมเนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 3 รอบ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง โดยมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้ามั่นใจว่า ในกาลต่อไป ด้วยความพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ อันจะเกิดแก่บ้านเมืองเราให้ผ่านพ้นไปได้ เราทั้งหลายจักต้องพร้อมใจกันปฏิบัติหน้าที่เพื่อความรุ่งเรืองของชาติอันเป็นที่รักของเรา”9 มิถุนายน 2514ทรงออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง เวลา 10.00 น. ในพระราชพิธีรัชดาภิเษก ซึ่งมีพระราชดำรัส ความตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าใคร่ขอให้ทุกฝ่ายตั้งความปรารถนาที่จะร่วมสามัคคีกัน ปฏิบัติงานน้อยใหญ่ตามหน้าที่ ให้บังเกิดผลอันสมบูรณ์ ให้ประเทศชาติของเราได้มีความสุขสงบ และจำเริญวัฒนายั่งยืนตลอดกาลสืบไป”5 ธันวาคม 2518 ทรงออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง เวลา 10.30 น. ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 4 รอบ โดยมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า“ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอให้ทุกฝ่ายยืนหยัดขึ้นต้านท้านวิกฤตการณ์นั้น โดยพร้อมกายพร้อมใจกันเร่งรัดปฏิบัติสรรพกิจการงานโดยขะมักเขม้น ให้ประสานสอดคล้องและเกื้อกูลกัน ตั้งมั่นอยู่ในความสุจริตสามัคคีและความไม่ประมาท โดยยึดเอาประเทศชาติ อิสรภาพ เสรีภาพ และประโยชน์สุขของประชาชนคนไทยเป็นจุดหมายสูงสุด”5 ธันวาคม 2530ทรงออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งชัยมังคลาภิเษก มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เวลา 10.30 น. ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษครบ 5 รอบ ซึ่งมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “ขอให้ท่านทั้งหลายในมหาสมาคมนี้ ตลอดจนประชาชนชาวไทยถ้วนหน้าได้พิจารณาศึกษาให้ทราบความหมาย และคุณค่าของความสามัคคีอย่างถ่องแท้ แล้วตั้งความคิด จิตใจให้แน่วแน่หนักแน่น ที่จะร่วมกันบำเพ็ญกรณียกิจของตน ให้ประสานและเกื้อกูลส่งเสริมกันอย่างสอดคล้อง ด้วยความสุจริต แข็งขัน และจริงใจ เพื่อให้ผลสำเร็จทั้งหลายที่แต่ละฝ่ายแต่ละคนกระทำ ประมวลกันเป็นความเจริญมั่นคง ความวัฒนาผาสุก และความรุ่งเรืองไพบูลย์ของประเทศชาติไทยของเรา”9 มิถุนายน 2539 ทรงออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งกาญจนาภิเษก มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ซึ่งครั้งนั้นพระองค์ตรัสไว้ว่า “ในโอกาสพิเศษนี้ ข้าพเจ้าใคร่ขอให้ท่านทั้งหลายในมหาสมาคมนี้ ตลอดจนประชาชนชาวไทยถ้วนหน้า ได้ตั้งความคิดจิตใจ ให้แน่วแน่หนักแน่น อยู่ในความสัตย์สุจริต และความขยันหมั่นเพียร ถ้าทุกคนในชาติจะได้ตั้งตนตั้งใจอยู่ในความเพียรดังกล่าว ประโยชน์และความสุขก็จะบังเกิดขึ้นพร้อม ทั้งแก่ส่วนตัวและส่วนรวม ประเทศชาติของเราก็จะสามารถรักษาความเป็นปกติมั่นคง พร้อมกับพัฒนาให้เจริญรุดหน้าไปได้ดังปรารถนา”5 ธันวาคม 2542 เสด็จออกสีหบัญชรเวลา 10.30 น. เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต โดยมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า“คนที่มีไมตรีต่อกัน จะคิดอะไร ก็คิดแต่ในทางสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลกัน จะพูดอะไร ก็ใช้เหตุผลเจรจากันด้วยความเข้าอกเข้าใจกัน จะทำอะไรก็ช่วยเหลือร่วมมือกัน ด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน”9 มิถุนายน 2549เสด็จออกสีหบัญชรเวลา 11.30 น. เนื่องในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต ซึ่งในวันนั้นนอกจากจะเป็นวันที่มีเหล่าประมุขจากประเทศในกลุ่มราชอาณาจักรเข้าร่วมพระราชพิธีแล้ว ยังเป็นการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ที่มีเหล่าพสกนิกรนับแสนคน ซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง ประดับตราสัญลักษณ์งานฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี เข้าเฝ้าฯ เต็มพระลานพระราชวังดุสิต เรื่อยไปจนตลอดแนวถนนราชดำเนินนอก ซึ่งพระองค์ก็ได้มีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า“จึงขอให้ท่านทั้งหลายในมหาสมาคมนี้ ทั้งประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าได้รักษาจิตใจและคุณธรรมนี้ไว้ให้เหนียวแน่น และถ่ายทอดความคิดจิตใจนี้กันต่อไปอย่าให้ขาดสาย เพื่อให้ประเทศชาติของเราดำรงยืนยงอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ทั้งในปัจจุบันและในภายหน้า”5 ธันวาคม 2550 เสด็จออก ณ มุขเด็จ เป็นครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบัน เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา เวลา 10.30 น. ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า “ถ้าทุกคนในชาติตั้งตนตั้งใจให้อยู่ในความสามัคคีดังกล่าว ประโยชน์และความสุขก็จะบังเกิดขึ้นพร้อม ทั้งแก่ส่วนตัวและส่วนรวม ประเทศชาติของเราก็จะสามารถรักษาความปกติมั่นคง พร้อมพัตนาให้รุดหน้าไปได้ดังปรารถนา”5 ธันวาคม 2554 เสด็จออก ณ มุขเด็จ โดยมีการติดตั้งพระวิสูตรบนมุขเด็จ และเลื่อนพระราชอาสน์ออกสู่มุขเด็จเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง เวลา 10.30 น. เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสกับผู้ที่มาเข้าเฝ้าฯ ว่า“ข้อสำคัญจะต้องไม่ขัดแย้งแตกแยกกัน อาจจะต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้งานที่ทำบรรลุผลที่มีประโยชน์ เพื่อความผาสุกของประชาชนและความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ”5 ธันวาคม 2555เป็นอีกครั้งที่ถือเป็นพระราชพิธีมหามงคล ซึ่งพสกนิกรชาวไทยจะได้เข้าเฝ้าฯ ชื่นชมพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จออกสีหบัญชร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต ในเวลา 10.30 น. เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ซึ่งในกาลนี้พระองค์จะเสด็จออก ณ สีหบัญชร โดยมีการต่อเติมขยายสีหบัญชรให้มีบริเวณกว้างขึ้นกว่าเดิม พร้อมติดตั้งพระวิสูตรบนสีหบัญชร และเลื่อนพระราชอาสน์ออกสู่สีหบัญชรเป็นครั้งแรกด้วย  ทั้งนี้สำหรับใครที่ต้องการเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ ในพระราชพิธีดังกล่าว ศึกษาข้อมูลให้ละเอียดได้ที่ http://www.thairath.co.th/page/fatherDay2012 เพื่อสะดวกในการเดินทางขอบคุณข้อมูลจาก : วิกิพีเดีย

No comments:

Post a Comment

Blog Archive