Tuesday, March 12, 2013

แฟชั่นอาหาร เทรนด์เมนูยอดฮิตมาแรงในปี 2013

แฟชั่นอาหาร เทรนด์เมนูยอดฮิตมาแรงในปี 2013
เทรนด์อาหารเหมือนแฟชั่น ต่างกันที่เชฟเป็นคนกำหนดขึ้น โดยเทรนด์อาหารสำคัญๆ มักเริ่มขึ้นในเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะปารีส มิลาน ลอนดอน แล้วก็นิวยอร์ก เพราะถือเป็นจุดศูนย์รวมของโลกทำให้มีวัฒนธรรมหลายหลากผสมผสานกันอยู่ หรือที่เรียกว่าคอสโมโพลิแทน นิสัยของผู้คนในเมืองเหล่านี้จึงมีแฟชั่นในตัวสูง คล้อยตามกระแสต่างๆ ตลอดเวลา มีประสบการณ์ชีวิตมาจากการเดินทางและกล้าที่จะลิ้มลองอะไรใหม่ๆ ถ้าเชฟคนไหนทำอะไรน่าสนใจก็แจ้งเกิดได้ไม่ยาก ตรงกันข้าม ถ้ามีฝีมือแต่ไม่ได้อยู่ในซิตี้เซ็นเตอร์ โอกาสจะเป็นผู้สร้างกระแสหรือได้รับความนิยมก็ยาก แต่ปัจจุบันผู้คนทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ละคนอยากแต่งตัวดีๆ ออกไปกินข้าวให้คนได้เห็นได้ชื่นชม ร้านอาหารดีๆ จึงเริ่มขยายไปตามซิตี้เซ็นเตอร์ทั่วโลกมากขึ้น แม้แต่บ้านเราก็มีเช่นกันเทรนด์อาหารโลก 2013 น่าจับตากระแสแรกก็คือ ทาปาส หรือ Small Plate ในภาษาอังกฤษ เทรนด์นี้เกิดขึ้นจากอิทธิพลของสภาพเศรษฐกิจและนิสัยของผู้บริโภคที่ต้องการชิมอาหารหลายๆ อย่าง แต่ไม่ต้องมาก ราคาประหยัดแชร์กับเพื่อนร่วมโต๊ะได้ โดยทาปาสต้นตำรับอาจมีลักษณะเป็นอาหารเสียบไม้ต่างๆ เรียกว่าพินโช่ เขาจะหยิบกินเป็นไม้นับราคาเป็นไม้ คล้ายประเทศไทยกินก๋วยเตี๋ยวแล้วนับเป็นถ้วย นอกจากนี้ยังมีของทอดและกริลล์ เช่น มันฝรั่งหั่นเป็นชิ้นๆ ทอดแล้วโรยปาปริก้า ราดมายองเนส เป็นต้น หรือนำวัตถุดิบประจำฤดูมาปรุงแบบพลันช่า (Plancha) คล้ายๆ กับเทปันยากิ ทาปาสเป็นอะไรที่เรียบๆ ง่ายๆ เน้น ย่างและทอด แต่ที่สำคัญวัตถุดิบต้องคุณภาพดี ปัจจุบันทาปาสและไวน์บาร์เริ่มเปิดมากขึ้นในหลายประเทศรวมถึงกรุงเทพฯด้วย โดยส่วนตัวถ้าจะเปิดทาปาสในเมืองไทยแต่คงจะดีหากนำเข้าพวกหอยต่างๆ เพราะเชลล์ฟิช (Shellfish) ของสเปนดีที่สุด กินแล้วสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำทะเลชัดเจนเอาพลันช่ากับน้ำมันมะกอกและไวน์ก็อร่อยแล้ว หรือของซีซันนอลอย่างอาร์ติโช้กก็แค่ปอกเปลือกแล้วทอดต่อมาคือ เบอร์เกอร์ คนอเมริกันวางกลยุทธ์ทางการตลาด เปลี่ยนคำนิยามอาหารนี้จากจังก์ฟู้ด (Junk Food) มาเป็นคอมฟอร์ทฟู้ด(Comfort Food) คือ กินง่าย สะดวก ทุกๆ คน ทุกเพศ ทุกวัยกินได้หมด แต่ส่วนผสมทุกอย่างเหมือนเดิม เป็นเบอร์เกอร์แบบเดิมที่เรารู้จักกันนั่นแหละ ซึ่งตอนนี้ในเมืองไทยก็เริ่มมีร้านเบอร์เกอร์เปิดขึ้นบ้างแล้ว Nose to Tail Eating Concept แปลง่ายๆ ก็คือ กินตั้งแต่หัวจรดหางปัจจุบันกลายเป็นเทรนด์อาหารที่คนในโลกอาหารอยากผลักดันเพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องวิกฤตการณ์ขาดแคลนอาหารในปัจจุบัน เทรนด์อาหารนี้ถูกกำหนดขึ้นโดยร้าน St. John Restaurant อยู่แถวๆ ไชน่าทาวน์ในอังกฤษโดยเชฟเฟอร์กูสัน สมัยก่อนเชฟมักจะนิยมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดมาปรุง ผู้บริโภคก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นวัวหนึ่งตัวจะนำมาทำสเต๊กก็ใช้เนื้อแค่ไม่กี่ส่วน เช่น สันในและสันนอก เพราะนุ่มอร่อยแต่ปัจจุบันมีเครื่องมือหลายๆ อย่าง ทำให้สามารถปรุงเนื้อได้นุ่มอร่อยขึ้นได้ เนื้อหลายๆ ส่วนก็ถูกนำมาปรุงมากขึ้น อาจจะไม่อยากเชื่อว่า อาหารไทย ได้รับการยกย่องให้เป็น เทรนด์อาหาร 1 ใน 3 ของโลก ถึงจะมีคนนิยมทานอาหารไทยมากขึ้น แต่บางคนรู้จักอาหารไทยน้อยนิดเดียว อย่างบางคนในสหรัฐอเมริกาเขารู้จักเราแค่ผัดไทย อย่างคนนิวยอร์กเขาบอกว่าเขากินอาหารมารอบโลกแล้ว เขามีประสบการณ์หลอกเขาไม่ได้ เหมือนตอนที่เราทำเมี่ยงคำให้แล้วเขาบอกว่าจ่ายเงินมากินอาหารไม่ใช่บุฟเฟ่ต์ทำไมต้องทำเอง แล้วก็ตอนทำยำปลาดุกฟูเขาก็บอกว่าเคยกินที่ประเทศไทยไม่ใช่แบบนี้บอกว่าไม่เห็นมีปลาดุก มีแต่ขนมปัง ฟังแล้วงงทีเดียว เพราะขนมปังที่เขาบอกคือเนื้อปลาดุกฟูล้วนๆ แล้วบอกว่ากินแล้วแห้งติดคอเพราะดันไม่ยอมกินกับน้ำยำ  เหล่านี้คือเทรนด์อาหารที่น่าจับตามองในปี 2013 แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรตั้งสติให้มั่นก่อนเลือกตามเทรนด์ เพราะบางทีเทรนด์ก็ไม่ได้ทำให้เราไปสู่จุดหมายในด้านธุรกิจมันอาจจะเป็นเทรนด์ระยะสั้นหรือระยะยาวก็แล้วแต่ แต่ถ้าเรามีเอกลักษณ์ของเราเองอยู่แล้วก็จงรักษาเอาไว้ อย่าไปหยุดทำ ทำต่อไป เพราะอันนั้นคือลักษณะเด่นของเราควรรักษาเอาไว้บางที่อะไรต่างๆ ที่เราได้ยินเข้ามาหรือรับเข้ามา ก็ไม่จำเป็นว่าเราต้องทำตามหรือต้องตามเทรนด์ไปทุกอย่างยกตัวอย่างเช่น เสื้อผ้า พอเปลี่ยนฤดูเขาก็เปลี่ยนสีบ้าง เนื้อผ้าบ้าง มันก็วนๆอยู่แบบนี้ เพราะสุดท้ายจุดมุ่งหมายหลักก็คือการนุ่งห่มร่างกายให้เหมาะสมตามกาลเทศะ เช่นเดียวกับอาหารซึ่งท้ายที่สุดสิ่งที่ทุกคนต้องการก็คืออะไรที่เป็นเทรดดิชันนัล ออริจินัล ออเทนติก เป็นของแท้ เพราะนี่คือสิ่งที่เรายังทำและบริโภคกันอยู่จริงๆ บนโลกใบนี้  ภาพ/ข้อมูล : นิตยสาร Health & Cuisine

No comments:

Post a Comment

Blog Archive