
ช่วงนี้ ไปทางไหน ก็มีคนถามไถ่ "นางพญาเสือโคร่ง" บานหรือยัง ใครนึกหน้าตาไม่ออก ก็พอจะเทียบเคียงได้กับ "ซากุระ" ของญี่ปุ่น จนบ้านเราเรียกกันว่า "ซากุระดอย" ก็มี เจ้าดอกไม้ประเภทนี้ จะได้เห็นกันที ก็ต้องรออากาศหนาวๆ นานๆ พอใบร่วงหมด ก็จะออกดอกเต็มต้น เป็นสวรรค์บนดอย ทั้งของคนและของนก ปีนี้ ฝนหมดช้า อากาศหนาวมาล่าเกิน นางพญาเสือโคร่งได้แต่ทิ้งใบ ทอดเวลามาตั้งแต่ปลายปี 2555 จนล่วงเข้าปีใหม่ 2556 แต่ดูเหมือนอากาศยังหนาวไม่สมใจนางพญาเสือโคร่ง คุณเธอเลยพร้อมใจกันยังไม่บานสะพรั่งตั้งแต่ต้นปี ขุนวาง - ขุนช่างเคี่ยน เป้าหมายการเดินทางต้นปีใหม่ของฉัน ปีนี้เลยไม่หวาน บานชมพูทั้งถนน แต่ฉันยังไม่ล้มเลิกความคิดถ้าไม่ได้เห็นกันจะจะ ว่าแล้วก็ชวนเพื่อน พร้อมกับ "อู๊ดดี้" ไปเยือนเมืองเหนือกัน ล้อหมุนจากกรุงเทพฯ ย่ำค่ำ เลี่ยงเมืองเชียงใหม่ โดยใช้ถนนหมายเลข 106 เถิน-ลี้ ถ้าใครไม่ชอบขับรถขึ้นเขา มักจะเลี่ยงเข้าลำปางแทน หากแต่ถนนเส้นนี้ช่วยย่นระยะทางไปขึ้นดอยอินทนนท์ได้เกือบ 100 กม. เชียว ฟ้าสางๆ ข้างทะเลสาบดอยเต่า ก่อนเข้าตัวเมืองฮอด บนถนนสาย 1103 แวะเข้าไปดูเพราะอยู่ห่างถนนราว 2 กม. สภาพเหมือนเพิ่งผ่านพ้นช่วงฉลองปีใหม่ตามแพพักต่างๆ แถมน้ำน้อย เลยกะว่า ถ้าน้ำเยอะ คนน้อยๆ ที่นี่ก็คงเหมือนสวรรค์ของความสงบอีกแห่ง ออกจากทะเลสาบดอยเต่า ข้ามสะพานแม่น้ำปิง นี่ก็ใจหายอีกรอบ เพราะน้ำน้อยจนเห็นสันทรายโผล่กลางน้ำในบางจุด อากาศยามเช้า อยู่ที่ราวๆ 18 องศา กับหมอกจางๆ พี่อู๊ดดี้ กับฉัน ยังอ้อยอิ่ง เลาะริมทางไปเรื่อยๆ ถนนนอกเมือง ไม่วุ่นวาย จนต้องรีบแย่งกันเดินทาง แวะกินข้าวเช้าที่ตลาด อ.ฮอด "ข้าวซอยไก่" เมนูที่ไม่ต้องคิดมาก เพราะมาถึงถิ่น กินอาหารพื้นถิ่น ถึงจะได้รสชาติ จาก อ.ฮอด เข้าจอมทอง เลี้ยวซ้ายขึ้น "ดอยอินทนนท์" เดี๋ยวนี้ขับรถไปสบาย ป้ายบอกทางชัดเจนไม่ต้องกลัวหลง เป้าหมายวันแรกของฉันอยู่ที่ "ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่-ขุนวาง" หวังจะได้ไปเดินเล่นบนถนนสายสีชมพูของดอกนางพญาเสือโคร่ง แต่ทันที ที่เลี้ยวเข้าแยกไป บ้านขุนวาง ฉันได้แต่บอกกับเพื่อนว่า นางพญาไม่บานแน่ๆ แต่ก็ยังดั้นด้นเข้าไปจนถึงที่หมาย ทางเข้าขุนวางปีนี้ ช่วงท้ายๆ ถนนเสียหายไปเยอะ ไหล่ทางทรุด บางช่วงเหลือเลนเดียว ใครเข้าไปขับรถระมัดระวังด้วยแล้วกัน ฉันเลือกเดินทางวันธรรมดา คนและรถเลยไม่เยอะ ที่ว่างมีให้เลือกมากมาย เสียค่าใช้สถานที่เสร็จก็ออกสำรวจ บริเวณด้านหน้าปรับปรุงใหม่ มีช้างตัวใหญ่สีฟ้า โผล่มาในแปลงดอกไม้ด้วย ถนนสายดอกไม้ของฉัน วันนี้ มีแต่นางพญาไร้ใบ ยืนต้นอยู่เงียบๆ ให้บรรยากาศเหงาเล่นๆ เพราะแทบจะไร้เงานักท่องเที่ยว เดี๋ยวนี้ทำเป็นเส้นทางเดินรถทางเดียว ห้ามรถเข้าไปแล่นเกะกะแล้ว ฉันพาพี่อู๊ดดี้เลยลงไปถึง "หุบรับเสด็จ" เลยได้เห็นนางพญาเสือโคร่ง สีชมพูและสีขาว บานเต็มต้นอยู่บ้างชนิดนับต้นถ้วน กลับออกจากศูนย์วิจัยเกษตรฯ ขุนวาง อย่างผิดหวังเล็กๆ ที่มาไม่ถูกช่วง แต่...ยังมีอีกจุดหนึ่ง กลางทางที่ผ่านมา สวยงามที่สุด ณ นาทีนี้ (8-9 ม ค.56) บริเวณที่ตั้ง "โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ตามพระราชดำริในพื้นที่ภาคเหนือ (ดอยอินทนนท์)" ซึ่งอยู่บริเวณ กม.8 จากปากทางแยกเข้าบ้านขุนวาง ผ่านน้ำตกสิริภูมิ เข้ามา ที่นี่ นางพญาเสือโคร่งบานราวๆ 60% เห็นจะได้ แถมด้วยอ่างเก็บน้ำเล็กๆ กับทิวสนต้นใหญ่ๆ สวยงาม สงบเงียบ จนฉันไม่อยากจะเคลื่อนตัวไปไหน เดินเลาะเข้าไปด้านใน เห็นเรือนกึ่งไม้ กึ่งปูน มีปล่องไฟด้านบน ดูแล้วนึกถึงบ้านในเมืองหนาว ที่ต้องมีเตาผิง ซึ่งเป็นที่ทำการ แล้วยังเป็นสถานที่รับเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสเสด็จฯ เยือนพื้นที่ด้วย มุมนี้จะมองเห็นไปไกลถึงยอดดอยหัวเสือ และขุนเขาสลับซับซ้อน และเป็นจุดชมอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม "โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ตามพระราชดำริในพื้นที่ภาคเหนือ (ดอยอินทนนท์)" ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวทั่วไป ที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าพักได้ ที่นี่เลยมีเวลาเปิด-ปิด 08.00-17.00 น. แต่ช่วงฤดูท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ก็มักจะปิดเลยไปถึง 18.00 น. นัท, ภาพ และ ลุงขาว ที่อยู่ประจำโครงการ มานั่งพูดคุยกับเรา เลยได้ความรู้อีกเยอะ กับโครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ซึ่งในเมืองไทยมีมากถึง 13 สายพันธุ์ แต่ที่ศูนย์อนุรักษ์แห่งนี้ สามารถรวบรวมมาเพาะพันธุ์ไว้ได้ 11 สายพันธุ์ นับจากที่เริ่มดำเนินการมา ในปี 2547 ตามพระราชดำริของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โดยที่ศูนย์นี้จะเน้นไปที่สายพันธุ์แท้ มากกว่าพวกลูกผสม จังหวะต้นปีแบบนี้ รองเท้านารีดอยอินทนนท์ ออกดอกอวดความงาม ฟอร์มรองเท้าสวยสมบูรณ์ดอกใหญ่ ต้องใจคนชอบกล้วยไม้ประเภทนี้ยิ่งนัก แต่ลึกๆ ในใจ ฉันก็ชอบตอนเห็นมันชูดอกอยู่ในป่า ในธรรมชาติ ซึ่งหาได้ยากนัก เพราะขนาดอยู่ในศูนย์อนุรักษ์ ยังเคยมีคนเข้ามาขโมย จนต้องคล้องกุญแจกันเหนียวแน่น เวลาไม่มีคนเฝ้า ช่วงอากาศหนาวๆ นางพญาเสือโคร่งบานเต็มต้น โดยเฉพาะที่อยู่ด้านหน้าโครงการ คอยเรียกแขกที่อกหักจากนางพญาเสือโคร่งที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงขุนวาง แต่ถ้าพ้นช่วงของนางพญาเสือโคร่งไปแล้ว ก็คงเป็นทีของรองเท้านารี ที่จะผลัดกันออกดอกเรียกแขกเช่นกัน ใครไปช่วงที่ไม่เห็นดอก ก็จินตนาการได้ไม่ยาก เพราะมีรูปปูนปั้นของกล้วยไม้รองเท้านานีสายพันธุ์ต่างๆ พร้อมคำอธิบายย่อๆ ให้ได้ทราบกันด้วย นัทบอกว่า เป้าหมายคือ การอนุรักษ์ เพาะและขยายพันธุ์เพิ่ม เพื่อที่ว่า วันหนึ่งจะได้นำไปคืนสู่ธรรมชาติ แม้จะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากรองเท้านารีตามธรรมชาติ โดยเฉพาะรองเท้ายี่ห้อดอยอินทนนท์ มักถูกหมายตา ลงจากดอยอินทนนท์ ขับรถเข้าเมืองเชียงใหม่ เพราะเป้าหมายถัดไป อยู่ที่ "ขุนช่างเคี่ยน" ซึ่งขึ้นทางเดียวกันกับ วัดพระธาตุดอยสุเทพฯ แต่จะเลยไปอีกราว 13 กม. แยกเข้าบ้านม้งขุนช่างเคี่ยน ขึ้นไปถึงก็พลบค่ำ ลงหลักปักเต็นท์นอนที่ลานกางเต็นท์ดอยสุเทพ-ปุย รุ่งเช้า ขับเข้าไปที่ร้านกาแฟของสถานีวิจัยเกษตรของ มช. ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องถนนสีชมพู ยามที่นางพญาเสือโคร่งบานเต็มที่ แต่... ไม่ต่างจากขุนวาง มีแต่ถนน นางพญาไร้ใบ แต่มีต้นงามดอกตรึมอยู่ต้นเดียว หลังร้านกาแฟ เลยถูกรุมทั้งจากนักท่องเที่ยวและนกเล็กๆ หลายชนิด โดยเฉพาะพวกกินปลี ที่ต่างพากันมารุมจิบน้ำหวานจากดอกนางพญาเสือโคร่ง คาดว่าอีกราว 10 วัน หรือช่วงอาทิตย์สิ้นเดือนดอกน่าจะบานเต็มที่ ขออย่าฝนตกซะก่อนเป็นใช้ได้ แต่ตรวจสอบก่อนเดินทางจะดีที่สุด การเดินทางท่องเที่ยวโดยเฉพาะธรรมชาติ เป็นสิ่งที่คาดหวังยาก ถ้าไปแบบไม่คาดหวัง โอกาสดีๆ ตามรายทางมีเสมอ ................................................... ตรวจสอบดอกไม้บาน สถานีเกษตรบนที่สูง ขุนช่างเคี่ยน : 0-5394-4052 ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงฯขุนวาง : 0-5311-4133-36 เที่ยวทั่วไทยไปกับโตโยต้า ขับรถชมดอกไม้ บนดอยสูง ความสวยงามมักอยู่ยอดๆ ดอกนางพญาเสือโคร่ง ก็ไม่ต่างกัน ออกดอกงามๆ ในช่วงอากาศหนาวแล้วยังอยู่บนดอยสูง โดยเฉพาะที่ "ขุนช่างเคี่ยน" ใครจะไปต้องผ่านถนนปราบเซียน เพราะทางแคบ คดเคียว และชัน เริ่มตั้งแต่เชิงดอยสุเทพ จะเป็นทางชันคดเคี้ยวขึ้นเขาอย่างเดียว ยังดีที่ 3-4 เลน พอเลยไปพระตำหนักภูพิงคฯ ไป ดอยปุยจะเหลือแค่ 2 เลน และพอแยกไปบ้านม้งขุนช่างเคี่ยน กลายเป็นถนนเลนเดียว บางช่วงด้านหนึ่งเป็นเขา ด้านหนึ่งเป็นเหว จะสวนทางต้องรอจังหวะให้ดี เพราะทางเบี่ยงมีให้แคบๆ "แตร" เป็นสิ่งจำเป็น ตรวจสอบก่อนเดินทางว่ายังใช้งานได้ และควรต้องกดแตรทุกทางโค้ง เพื่อที่รถสวน หรือเราเองเมื่อได้ยินแตร จะได้ระวังและถ้าใครอยู่ในจังหวะที่หลบได้ จะได้หลบไว้ก่อน เพื่อให้อีกคันผ่านไป ดีกว่ามาจ๊ะเอ๋กันแล้วไปไหนไม่ได้ทั้งคู่ ถ้อยที ถ้อยอาศัย เดินทางปลอดภัย ท่องเที่ยวสนุกค่ะ ................................................ (ดอกไม้หวาน บนดอยสูง : คอลัมน์ชวนเที่ยว)
No comments:
Post a Comment