Wednesday, January 30, 2013

ไปเที่ยว-ไปดู-ไปรู้-ไปเล่น


ไปเที่ยว-ไปดู-ไปรู้-ไปเล่น

แม้ว่าตอนนี้เด็กๆ ใกล้สอบขึ้นชั้นประถมเข้าไปทุกที แต่ถ้ามีวันหยุดเมื่อไหร่ แก๊งครอบครัวเพื่อนซี้ที่โรงเรียนอนุบาลของลูกชายจะจัดทริปไปเที่ยวกัน คราวนี้มีเวลาไม่มากพอที่จะค้างคืน แต่การจัด One-Day Trip รอบนี้ เรียกได้ว่าเป็นการเที่ยวสไตล์ทัศนศึกษา “เช้าชีววิทยา เย็นวิทยาศาสตร์” กันเลยทีเดียวบรรดาแม่ๆ ชอบความสวยงาม อ่อนหวานและเป็นธรรมชาติ จึงลงความเห็นว่าอยากไปเที่ยวดูดอกไม้ที่ “ดาษดา แกลเลอรี่” กันดีกว่า เรานัดกันแต่เช้า แล้วเหมารถบัสนั่งรวมกันไปที่จังหวัดปราจีนบุรี ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณชั่วโมงครึ่ง พวกเราไปถึงดาษดา แกลเลอรี่ตอนสายๆ อากาศยังไม่ร้อนมาก เดินข้ามสะพานไม้แล้วก็ตื่นตาตื่นใจกับโรงเรือนขนาดใหญ่โต มีดอกไม้เมืองหนาวพันธุ์ต่างประเทศเต็มไปหมด แต่ละช่วงของที่นี่จะมีการจัดแสดงดอกไม้ไม่ซ้ำกัน อย่างช่วงที่เราไปเป็นโลกใต้ทะเลที่เนรมิตจากดอกไม้นับหมื่นดอก เช่น แมงกะพรุนดอกไม้ และวาฬยักษ์สีหวานสวยงาม ถ้าเป็นเดือนกุมภาพันธ์ก็จะเป็นธีมวันวาเลนไทน์พอดี นอกเหนือจากดอกไม้ ยังมีกิจกรรมสำหรับเด็กๆ อีก อาทิ การเล่นเกม การเดินชมสวนสัตว์ Mini Zoo เด็กๆ จะได้สัมผัสกับสัตว์ที่เป็นมิตรแบบใกล้ชิด สามารถให้อาหารนก ไก่ เป็ด นกยูง และแกะด้วยตัวเอง หลังจากแวะพักกินข้าวกลางวันกันที่นั่นแล้ว พอบ่ายๆ อากาศเริ่มร้อนก็ค่อยเดินทางกลับผมเองเป็นผู้ชาย ก็ดูดอกไม้เพลินๆ ครับ ไม่ได้กรี๊ดกร๊าดเท่ากับแม่ๆ ลูกๆ ที่เดินเล่นถ่ายรูปในมุมสวยๆ กันอย่างสนุกสนาน  เมื่อเราเห็นภรรยาและลูกมีความสุข เราก็มีความสุขไปด้วย แต่ก็ขอแนะนำว่าถ้ามีป้ายบอกชื่อพืชพรรณเพิ่มเติมจะเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น และปรับปรุงการให้บริการของพนักงานในส่วนร้านอาหารอีกสักนิดก็จะดีมากเลยครับ ระหว่างการเดินทางขากลับ เมื่อทราบว่าต้องผ่าน “พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ” ที่อยู่แถวคลอง 5 ปทุมธานี แม้จะเหลือเวลาไม่มากนัก แต่เราก็อยากให้ลูกๆ ได้ความรู้เพิ่มเติมก่อนกลับบ้าน ภรรยาผมในฐานะที่เคยออกแบบโบรชัวร์ของที่นี่ แนะนำว่า ถ้าเวลาเหลือน้อยให้ขึ้นไปที่ชั้น 3 เลย เป็นความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สนุกๆ ที่เด็กๆ จะได้ทดลองด้วยตัวเองพอถึงตึกทรงลูกเต๋า เด็กๆ ไม่รอช้า รีบตรงดิ่งไปที่ชั้น 3 ทุกคนสนุกกับการทดลองต่างๆ อุปกรณ์แต่ละชิ้นสภาพยังสมบูรณ์ ผมขอแนะนำจุดที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ อุโมงค์พลังงาน โดยเฉพาะตรงหัวข้อแผ่นดินไหว ที่จะให้เรายืนดูวิดีโอสักพัก อยู่ๆ พื้นก็สั่นสะเทือนขึ้นมาจริงๆ รับรองว่าเด็กๆ ดูแล้วมีเฮแน่นอนครับ อีกชิ้นที่สนุกไม่แพ้กันก็คือการทดลองเรื่องแรงดันที่ให้เราได้ออกแรงหมุนเพื่อปล่อยจรวดให้พุ่งขึ้นถึงเพดาน และจานกระซิบที่อยู่คนละฝั่งของบันไดเลื่อน เพียงแค่ทดลองพูดเบาๆ คนที่อยู่อีกฝั่งก็จะได้ยินเสียงเรา ขอชื่นชมองค์กรและบุคลากรที่สร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้นมา และขอฝากไปถึงพิพิธภัณฑ์อื่นๆ ด้วยว่าอย่าเผลอปล่อยให้พิพิธภัณฑ์กลายเป็นแค่ห้องเก็บของที่ไม่ได้ใช้เลยครับ อยากให้เด็กไทยเก่ง ฉลาด มีเหตุผล เราต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้สัมผัสและทดลองกันอีกมากๆ แม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็สามารถกลายเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเด็กๆ ได้ไม่ยากเลยครับ น้าเมฆ facebook.com/cloudbookfanpage 

วงแหวนแห่งความลับ นวัตกรรมคุมกำเนิด ผู้หญิงมั่นใจไม่มีป่อง

วงแหวนแห่งความลับ นวัตกรรมคุมกำเนิด ผู้หญิงมั่นใจไม่มีป่อง
หมดยุคพึ่งพาผู้ชายพกถุง (ยางอนามัย) จบสิ้นภาระผู้หญิงกินยาคุมกำเนิด เพราะการคุมกำเนิดสำหรับสตรีแนวใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้น พร้อมกับวิธีการใช้ที่ไม่ยากอย่างที่คิด แถมร่างกายก็ไม่เจ็บตัวอีกด้วย สุดยอดการค้นพบนวัตกรรมรู้ใจมนุษย์อย่าง “วงแหวนคุมกำเนิด ที่มีชื่อว่านูวาริง ซึ่งอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เครื่องมือคุมกำเนิดสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ ซึ่งนับเป็นทางเลือกใหม่ที่สามารถคุมกำเนิดได้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาเม็ดคุมกำเนิด ปลดเปลื้องภาระและความอายหากต้องหยิบยาคุมขึ้นมารับประทานเป็นประจำทุกวัน โดยจากการศึกษาพบว่าการใช้วงแหวนคุมกำเนิดมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด และยังไม่มีผลต่อน้ำหนักตัวอีกด้วย  ใส่ง่าย ไม่เจ็บปวดจากการวิจัยพบว่า ผู้หญิงกว่าร้อยละ 97 มีความพึงพอใจกับเจ้าวงแหวนนี้ และพร้อมที่จะแนะนำต่อให้กับเพื่อนได้ทดลองใช้ ซึ่งวิธีการสวมใส่เจ้าเครื่องมือคุมกำเนิดนี้สามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยใส่วงแหวนในวันแรกของรอบเดือน เริ่มต้นด้วยการล้างมือให้สะอาด นำวงแหวนออกจากซอง ใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือบีบวงแหวนให้เป็นวงรี จากนั้นนำนูวาริงใส่เข้าช่องคลอด ดันเข้าไปจนรู้สึกสุด โดยตำแหน่งของวงแหวนไม่มีผลในการดูดซึมฮอร์โมน เมื่อครบกำหนด 3 สัปดาห์ให้ถอดวงแหวนออก เว้นช่วงที่ไม่ต้องใส่นูวาริงไว้ 7 วัน ซึ่งระหว่างนี้ประจำเดือนก็จะมาเยือนตามปกติ และเมื่อครบกำหนด 1 สัปดาห์ ก็สามารถเริ่มใส่วงแหวนอันใหม่ได้ทันที นวัตกรรมที่คนรุ่นใหม่วางใจการันตียอดขายพุ่งกระฉูดในสหรัฐฯ และประเทศทั่วยุโรป ซึ่งสาวๆ มั่นใจว่านูวาริงสามารถคุมกำเนิดได้ผลสมราคาคุย โดยที่ร่างกายไม่เจ็บตัว ปลอดภัย ไม่ต้องเปลี่ยนถุงยางอนามัยทุกครั้งเหมือนกับของผู้ชาย ดังนั้นมั่นใจได้เลยว่าสงครามรักอันร้อนแรงจะเกิดขึ้นโดยไม่มีความกังวลขัดขวางอย่างแน่นอน

ลองของแพง LEXUS LS460L (ตอนที่2)

ลองของแพง LEXUS LS460L (ตอนที่2)
ตอนที่สองกับการทดสอบขับขี่ยานยนต์ อากาศยาน Lexus LS 460L อภิมหาความนิ่มนวลบนความมีระดับของรถญี่ปุ่น...จะบอกเพียงแค่คำว่า ดี ก็คงจะน้อยเกินไป แต่จะใช้คำว่ายอดเยี่ยมก็ยังไม่ใช่ นี่คือรถทดสอบคันแรกของปี 2556 ที่มีขนาดความยาวถึง 5 เมตร หนัก 2 ตัน และมีราคา 11.7 ล้านบาท LS 460L คือตัวแทนของประวัติศาสตร์ในการสร้างยนตรกรรมหรูตลอดช่วงระยะเวลา 24 ปีของแบรนด์ Lexus มันกลายเป็นรถยนต์ที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อความเหนือกว่าในทุกระดับ โมเดลเรือธง LS นั้น เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายนับร้อยรายการ เครื่องยนต์ที่ทรงพลังและระบบขับเคลื่อนที่นิ่มนวลสุดๆ LS 460L มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่จะทำให้การเคลื่อนที่เดินทางของมนุษย์มีความสะดวก สบายสูงสุด ภายใต้ประสิทธิภาพของตัวรถคือรายละเอียดนับพันจุดที่ถูกปรับเปลี่ยนในการก้าวข้ามทศวรรษบนเรือนร่างของรุ่นไมเนอร์เชนจ์ประจำปี 2013 มันคือที่สุดของยนตรกรรมสายพันธุ์ผู้บริหารจากญี่ปุ่น ที่ผ่านการพิสูจน์ตัวตนมาอย่างโชกโชน ระยะเวลา 5 วันของการขับขี่ทดสอบของผมกับเจ้า LS 460L กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วเรือนร่างที่ยาวเหยียดถึง 5,150 มิลลิเมตร ทำให้ห้องโดยสารของ LS 460L มีพื้นที่ในการวางเท้าเหลือเฟือ ภายในใช้โทนสีดำเพื่อเน้นบรรยากาศแบบเขร่งขรึมเอาจริงเอาจัง ลายไม้สีเข้มของขอบวงพวงมาลัยกับงานไม้ที่ใช้กรุคาดกลางคอนโซลต้องใช้เวลาทำถึง 35 วัน วัสดุที่นำมาใช้มีทั้งอัลลอยสีแชมเปญ ลายไม้สีเข้ม หนังและพลาสติกเกรดสูง มันเป็นรถที่มียางขอบประตูเยอะมากที่สุดเท่าที่ผมเคยทดสอบมา นั่นหมายถึงการกักเก็บป้องกันเสียงแปลกปลอมจากภายนอกในระดับที่น่าประทับใจ จอแสดงผลที่สั่งงานด้วยเมนูภาษาไทยจะทำให้คนขับรถยิ้มออก จอดังกล่าวมีขนาดใหญ่โตถึง 12.8 นิ้ว ใหญ่ที่สุดในกลุ่มรถหรูแบบลีมูซีน นอกจากจะใหญ่แล้วมันยังให้ความคมชัดที่ดีเยี่ยมอีกด้วย เบาะคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ 4 ระดับ ภายในเบาะยังฝังพัดลมระบายอากาศที่มีท่อเชื่อมต่อกับระบบปรับอากาศ เมื่อคุณต้องจอดรถตากแดดระบบนี้จะช่วยทำให้ก้นของคนนั่งไม่สุกไปเสียก่อนใน วันที่มีอากาศร้อนจัด ส่วนเบาะด้านหลังขนาดใหญ่มีไว้สำหรับเจ้าของรถคนที่ควักเงินซื้อแต่ไม่ยอมขับ มันเป็นตำแหน่งที่น่านั่งมากที่สุดบนรถคันนี้ ทั้งระบบนวดและระบบให้ความบันเทิงเริงรมย์ที่สามารถควบคุมด้วยตัวเอง สิ่งที่ดูขัดตาอยู่บ้างคือจอกลางที่มีรูปร่างเหลี่ยมๆ ทื่อๆ แทนที่จะฝังอยู่หลังเบาะผู้โดยสารตอนหน้าแบบ BMW Series-7กดปุ่มสวิตช์สตาร์ตเครื่ิองยนต์ 1UZ-FSE แบบ V8 386 แรงม้า ติดขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ผมปรับปุ่มโหมดการขับไปที่ Comfort Eco Mode เพื่อลองขับใช้งานบนถนนหนทางในกรุงเทพมหานครท่ามกลางสภาพการจราจรที่หนาแน่นสุดๆ ในช่วงวันศุกร์ตอนหัวค่ำ เรือนร่างที่ยาวมากกว่าปกติทำให้ผมต้องระมัดระวังในการเปลี่ยนเส้นทาง ความยาวของตัวรถและขนาดที่ใหญ่รวมถึงราคาค่าตัว ทำให้การทดสอบบนเส้นทางสุขุมวิทที่จะมุ่งหน้าไปยังโรงแรมอินเตอร์คอนติเนลตันมีความลำบากเล็กๆ จากการที่ต้องระวังมากขึ้นกว่าปกติจากมิติของตัวถังที่เกินหน้าเกินตารถยนต์ทั่วๆ ไป โปรแกรมการขับขี่แบบ Comfort Mode ของ LS 460L ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายจากสัมผัสของคันเร่งไฟฟ้าและระบบส่งกำลังที่ออกแนวนิ่มนวลสูงสุด มันเหมือนกับล่องลอยอยู่บนพรมวิเศษจากการทำหน้าที่ของถุงลมในระบบ Air Suspension เมื่อถนนเรียบมันจะใช้แรงอัดของลมในระบบที่มีความเหมาะสมกับสภาพเส้นทางและปรับการทำงานไปตลอดระยะเวลาของการใช้รถ เมื่อพบกับเส้นทางที่ขรุขระ เซ็นเซอร์จะระบายลมในระบบออกไปอีกจนได้ค่าที่มีความพอดีกับสภาพผิวถนนในห้วงเวลาที่มันแล่นผ่าน แม้จะเคยทดสอบ BMW Series-7 740Li กับ Mercedes Benz S-Class S500 แต่ความรู้สึกที่ได้รับกลับแปลกและแตกต่างไปจากคู่แข่งจากเยอรมนีทั้งสองคันอย่างสิ้นเชิงสภาพรถติดอย่างสาหัสไม่ได้สร้างปัญหาให้กับ LS 460L ห้องโดยสารที่เงียบราวกับอยู่ในสถานที่ปฏิบัติธรรม มอบสัมผัสที่ตัดแยกออกจากโลกภายนอกไปโดยปริยาย มันเงียบจนคุณสงสัยว่าเครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่หรือไม่หากไม่สังเกตวงวัดรอบที่หน้าปัดมาตรวัด เมื่อถอนเท้าออกจากแป้นเบรก รถจะค่อยๆ ไหลออกไปอย่างนิ่มนวลโดยที่ผมไม่ได้กดคันเร่ง แต่หากเมื่อใดที่ผมขับไปติดสัญญาณไฟจราจรอยู่คันหน้าสุดแล้วทางข้างหน้านั้นโล่งไร้รถราและผู้คน การออกตัวด้วยความรวดเร็วบน LS 460L คือความบังเทิงที่ต้องลืมเรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่กลายเป็นของควบคู่กัน สำหรับรถเครื่องโตคันใหญ่ยักษ์ เมื่อลงคันเร่งลึก มันจะพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วปานจรวดจากแรงบิดรอบต่ำอันมหาศาล มันออกตัวได้ดีกว่า GT86 ทั้งๆ ที่หนักกว่าถึง 800 กิโลกรัม จากพลังของเครื่องยนต์ V8 เพลากลางที่ส่งแรงบิดจากชุดเกียร์ 8 สปีดไปยังเฟืองท้าย ถูกพัฒนาให้ลดการสั่นสะเทือนจากการหมุนในทุกรอบเครื่องยนต์ รวมถึงจุดยึดของแท่นเครื่องและแท่นเกียร์ที่ใหญ่โตราวกับรถถัง ช่วยทำให้มันนิ่งสนิทแม้รอบเครื่องยนต์จะกวาดไปถึง 7,000 รอบต่อนาที การทำแบบนั้นเป็นอันตรายต่อเงินในกระเป๋าที่จะต้องควักเพิ่มสำหรับค่าเชื้อเพลิงเพื่อแลกกับสมรรถนะอันสุดยอดของการขับขี่ ตัวเลขเฉลี่ย 4.7 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการขับขี่ในเมืองทำให้ขนบนหัวของผมถึงกับตั้งชันเมื่อมองเห็นตัวเลขในบิลค่าน้ำมัน มันคือรถที่กินจุแบบไม่ยั้งหากคุณเป็นคนชอบขับรถเร็วก็จงเตรียมเงินเอาไว้เยอะๆ สำหรับการเดินทาง แต่คนที่ซื้อรถระดับนี้เรื่องราคาค่าเชื้อเพลิงคงไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอนวันที่สองของการทดสอบทางไกลแบบขับยาวๆ ผมนำเจ้าเรือธงของ Lexus ออกวิ่งไปตามเส้นทางรังสิต-องค์รักษ์ มุ่งหน้าไปยังจังหวัดนครนายก รถ LS 460L ราคาเกือบๆ 12 ล้านดูขัดแย้งกับเส้นทางเลี่ยงเมืองที่มุ่งหน้าไปยังน้ำตกสาริกาและวังตะไคร้ ถนนเลี่ยงเมืองยาวสิบกว่ากิโลเมตรมีความเรียบโล่งไร้รถราขวักไขว่แม้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมขับขึ้นไปบนถนนเล็กๆ ที่วกวนของเขื่อนขุนด่านปราการชล จอดถ่ายภาพแล้วขับไปยังด่านเนินหอมในเขตจังหวัดปราจีนบุรีซึ่งเป็นทางขึ้นสู่วนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทางเขตจังหวัดปราจีนบุรี เส้นทางจากเขื่อนขุนด่านฯ ไปยังทางเข้าวนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ยาวประมาณ 24 กิโลเมตร เป็นทางลาดยางสองเลนสวนกันที่ค่อนข้างสงบเงียบไม่จอแจเหมือนทางหลัก ระบบนำทางด้วยเมนูภาษาไทยของ Lexus LS 460L แจ้งเพียงแค่ทิศทางที่รถมุ่งหน้าไปโดยบอกแต่เพียงว่ารถกำลังวิ่งอยู่บนทางสุขาภิบาล มันให้รายละเอียดของแผนที่ค่อนข้างครอบคลุม รวมถึงความง่ายของการใช้งานจากเมนูภาษาไทยที่อ่านหรือปรับตั้งได้รวดเร็ว ถนนสุขาภิบาลจากตัวเขื่อนไปยังด่านเนินหอมนอกจากจะแคบแล้วยังลัดเลาะตัดผ่าเข้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่เรียงรายสองข้างทาง จนทำให้ LS 460L ดูขัดแย้งกับภูมิประเทศในแถบนี้อย่างสิ้นเชิง ชาวบ้านร้านตลาดต่างพากันจ้องมองรถคันยาวที่วิ่งฝ่าฝุ่นจากทางลูกรังในบางช่วงจนตัวรถโดนฝุ่นเกาะแดงเถือกไปหมดน้ำหนักที่เบาสบายของพวงมาลัยและระบบบังคับเลี้ยวที่ใช้มอเตอร์แปรผันน้ำหนักไปตามความเร็ว ทำให้การควบคุมตัวรถที่ทั้งใหญ่และยาวมีความสะดวกคล้ายกำลังขับรถเล็กๆ ยังไงยังงั้น โค้งสลับกับทางยาวๆ ทำให้เจ้า LS 460L ต้องใช้ความพลิ้วของระบบรองรับเข้ามาช่วยเสริมการควบคุมที่มอบความรู้สึกมั่นคงและนิ่ง คันเร่งตอบสนองได้ดีเพียงแค่แตะเบาๆ มันก็พุ่งทะยานไปตามกำลังรอบของ เครื่องยนต์ที่เน้นในเรื่องแรงบิดรอบต่ำได้อย่างเฉียบคม ช่วง 200 กิโลเมตรแรกจึงค่อนข้างน่าเบื่ออยู่บ้าง ตัวรถเงียบสนิทหากคุณไม่เปิดระบบเครื่องเสียงที่อยู่ในระดับสุดยอด การบังคับควบคุมตัวรถไม่ใช่ปัญหาแม้จะมีน้ำหนักมากถึงเกือบ 2 ตัน พวงมาลัยสื่อสารกับสภาพผิวทางในแบบสังเคราะห์และขาดสัมผัสที่ดีแบบสปอร์ตไปบ้างเนื่องจากเป็นรถยนต์ของพวกผู้ดีมีตระกูล เบรกอยู่ในระดับที่ดี ช่วงแรกมันจะให้ความรู้สึกหนืดๆ อยู่บ้างเมื่อต้องเบรกที่ย่านความเร็วต่ำแบบขับในเมือง แต่พอลงน้ำหนักของฝ่าเท้าไปยังแป้นเบรกก็พบกับการตอบสนองที่ดีและให้ความมั่นใจสูงแม้จะอัดเข้าสู่หัวโค้งแล้วเบรกลึกๆ ก่อนจะส่งตัวรถทะยานออกไปสู่ปลายโค้ง ระบบส่งกำลังซึ่งใช้เกียร์ 8 อัตราทดลื่นไหลไร้รอยต่อใดๆ ทั้งสิ้น มันลื่นจนดูคล้ายกับรถไฟฟ้าจากอัตราทดที่ขึ้น-ลงไปตามย่านความเร็ว รถทดสอบ LS 460L คันนี้ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และวิ่งมาน้อยมากๆ ถุงลมในระบบ Air Suspension ทำงานได้อย่างไร้ที่ติแม้จะต้องผจญกับทางแย่ๆ ในบางช่วง การขับรถคันโตคนเดียวท่ามกลางสภาพเส้นทางที่เต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไพรแบบนี้ บ่อยครั้งเข้าถึงกับทำให้รู้สึกเหงาได้เหมือนกันหลังจากที่ขับต่อไปเรื่อยๆ ผมเริ่มหลงรักมันขึ้นมาทีละนิด สองวันสำหรับการทดสอบทั้งในเมืองและการขับขี่ทางไกลทำให้ผมพบว่าเจ้า LS 460L เป็นรถที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้นั่งได้อย่างสบาย วิ่งด้วยความเร็วสูงได้อย่างมั่นคง บนความสมดุลของตัวรถที่สื่อสารกับผู้ขับขี่ได้อย่างหมดจด มันจะส่งถ่ายความรู้สึกทั้งหมดไปยังผู้ขับให้รับรู้ถึงการยึดเกาะ ความนิ่มนวล ความสนุกในบางจังหวะจะโคนและความหรูหรามีระดับได้เป็นอย่างดี เบรกที่เมื่อขับช้าๆ จะให้ความรู้สึกหนืดๆ แต่เมื่อควบมันเร็วขึ้น เบรกจะตอบสนองในแบบที่มันควรจะเป็น มันช่วยชะลอหรือหยุดน้ำหนักขนาดช้างตัวย่อมๆ ได้อย่างมั่นใจ พวงมาลัยมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นในโหมด Sport และยิ่งดีขึ้นไปอีกในโหมด Sport Plus ซึ่งเป็นโหมดสูงสุด ทันทีที่ผมเริ่มใช้ความเร็วและใช้แรงเหวี่ยงในการเข้าโค้งมากกว่าเดิม น้ำหนักของพวงมาลัยที่ถูกควบคุมด้วยเซ็นเซอร์ของระบบ EPS หน่วงมาอย่างพอเหมาะพอเจาะ มันคมและให้ประสิทธิภาพที่ดีในการหักเลี้ยวไปตามเส้นทางขึ้นเขาใหญ่ที่คดเคี้ยวราวกับงูยักษ์ เกียร์ที่เคยเนือยๆในโหมดประหยัดกลับมาขยันขันแข็งอีกครั้งในการปรับอัตราทดให้เข้ากับความเร็วและสภาพของทางแบบขึ้น-ลงเนินเขา ช่วงล่างในโหมดสูงสุดมีการให้ตัวน้อยลงแต่ยังคงระดับของความนุ่มสบายเอาไว้ เหมือนเดิม ระบบรองรับใน LS เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพจากการพัฒนาดูเหมือนกำลังผลักดันตัวรถให้เข้าสู่ขอบเขตที่จำกัดมากยิ่งขึ้น แม้ถนนบนเขาใหญ่จะแคบนิดเดียวเมื่อเทียบกับขนาดของ LS 460L แต่มันผ่านไปได้แบบสบายๆ ไร้กังวลหากคนขับไม่ทำอะไรที่สิ้นคิดหรือบ้าจนเกินไปLS 460L มีปุ่มสำหรับปิดโหมด ESP แต่ผมเปิดมันไว้ตลอดทางเนื่องจากไม่คิดจะขับจนท้ายรถกวาดซ้ายป่ายขวา การปิดมันทั้งระบบทำให้รถที่มีน้ำหนักตัวเยอะคันนี้สามารถขับแบบดริฟท์ได้ด้วยฝีมือของคุณเองแต่ผมไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น ต้องขอขอบคุณวิศวกรของ Lexus ที่สร้างรถซึ่งมีการขับขี่ที่ดีมากแบบ LS มันคือรถสำหรับผู้บริหารระดับสูงที่นิยมความแปลกแยกและแตกต่างไปจากกลุ่มชนชั้นสูงอื่นๆ ที่นิยมแบรนด์อย่าง BMW / Jaguar / Audi หรือ Mercedes Benz รถ Lexus มีบางสิ่งบางอย่างที่เทียบเท่าหรือดีกว่า แต่คุณต้องเป็นฝ่ายที่ค้นหาด้วยตัวเองมากกว่าที่จะเชื่อในเนื้อความโฆษณาประชาสัมพันธ์ มันมีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลไม่น้อยหน้ารถยนต์จากเยอรมนี การเรียนรู้ในการสร้างรถยนต์ของชนชาวอาทิตย์อุทัยได้ก่อให้เกิดชาติพันธุ์ของยานยนต์ที่ตอบสนองต่อการขับขี่ควบคุมหรือนั่งโดยสารได้อย่างน่าทึ่ง ระบบต่างๆ ของ LS 460L รองรับทุกอารมณ์ของการขับเคลื่อน มันพร้อมที่จะไหลไปอย่างเนิบๆ หรือพุ่งทะยานราวกับลูกธนู โดยมีนวัตกรรมของการขับเคลื่อนในระดับสูงสุดคอยรองรับ แม้จะน่าเศร้าที่มันยังไม่สามารถเจาะตลาดรถหรูในยุโรปได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ในอเมริกาและเอเชียแล้ว มันคือตัวแทนของความสำเร็จที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตัวถังในรุ่นไมเนอร์เชนจ์เสริมความแข็งแกร่งมากกว่าที่เคยมีมา เครื่องยนต์ 1UZ-FSE ถูกอัพเกรดปรับแต่งจนมีเรี่ยวแรงมากขึ้นและมีแรงบิดมากถึง 50.8 กิโลกรัมเมตร ตอบสนองต่อการเร่งความเร็วได้เฉียบคมแม้ตัวจะหนัก แรงบิดรอบต่ำตั้งแต่ 1,250 รอบต่อนาที ไล่เรียงไปจนถึงเกือบๆ 7,000 รอบต่อนาที คุณจะได้ยินเสียงครางและสูดอากาศของเครื่อง V8 ที่ออกแนวทุ้มนุ่มลึกไม่กระโชกโฮกฮากแหลมแสบแก้วหูเหมือนเครื่องยนต์ V8 ของพวกอิตาเลียน พลังของเครื่องยนต์แสดงออกในด้านอัตราเร่ง การไต่ระดับความเร็วหรือการเร่งแซงได้ดีไร้ที่ติ ตัวเลข 0-100 ใน 6.4 วินาที ทำให้ผมรับรู้ได้ว่า LS 460L ไม่ได้เป็นรถที่อืดอาดเลยแม้แต่น้อย แม้โหมดการขับเคลื่อนจะอยู่ในระดับสูงสุดที่ Sport Plus แต่ความนิ่มนวลก็ยังคงอยู่ ที่ชอบมากคือการวิ่งคงความเร็วแบบเดินทางไกลบนไฮเวย์ รถ LS 460L จะมอบความมั่นใจจนคุณใช้ความเร็วบ่อยครั้งเท่าที่ถนนจะอำนวย อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจากการใช้งานในเมืองอยู่ที่ 4.7 กิโลเมตรต่อลิตร จากที่ต้องออกตัวแล้วหยุด แล้วออกตัวไปตลอดทาง ลดลงเหลือ 7.4 กิโลเมตรต่อลิตร เมื่อผมลองวิ่งด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนทางยาวๆ ที่ตัดผ่านเขาใหญ่ คุณต้องแน่ใจว่าน้ำมันในถังเชื้อเพลิงเหลือมากพอที่จะพาคุณให้รอดปลอดภัย ด้วยการแวะเติมให้ระดับของเชื้อเพลิงเพียงพออยู่เสมอก่อนวิ่งตัดผ่านปั๊มน้ำมันที่หายากในบางจุด อาจก่อให้เกิดปัญหาหากคุณขับรถเครื่องโตข้ามจากด่านเนินหอมออกไปทางปากช่อง และมีน้ำมันเหลืออยู่ในถังไม่มากนัก ทางขึ้นลงเขาแม้จะไม่ยาวมากแต่ก็ถือว่าเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่าทางราบ บางช่วงบางตอนอาจต้องรอโขลงช้างเจ้าถิ่นที่มักออกมาเดินหากินอยู่ใกล้กับถนน ควรหยุดรถให้ไกลจากจุดที่โขลงช้างหากิน กลับรถหรือดับเครื่องยนต์ ห้ามบีบแตร ส่งเสียงดังหรือขับฝ่าเข้าไปแบบทองไม่รู้ร้อน โขลงช้างที่มีลูกเล็กเด็กแดงจะมีตัวแม่เจ้าอารมณ์ที่พร้อมจะปกป้องลูกน้อย มันไม่สนหรอกว่ารถของคุณจะราคากี่ล้าน ทางที่ดีหลบให้เจ้าของบ้านเค้าผ่านไปเถอะ07.30 น. เช้าวันรุ่งขึ้นในสนามกอล์ฟแรนโช ชาญวีร์ บริเวณตะเข็บรอยต่อกับป่าเขาใหญ่ ผมไหลเจ้าเรือธงไปตามทางเดินรถเล็กๆ ในสนามเพื่อเก็บภาพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนขับกลับ ตำแหน่งท่ี่น่านั่งที่สุดคือเบาะผู้โดยสารตอนหลังของเจ้า LS 460L มันมีเบาะแบบนวดที่จะช่วยให้คุณผ่อนคลายไปตลอดเส้นทางบนระบบกันสะเทือนที่นุ่มราวกับพรมวิเศษของอาละดิน มันมีเครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ที่เหนือกว่าทั้ง Series-7 และ S-Class ให้มิติและความคมชัดของเสียงเพลงที่ร้านรับติดเครื่องเสียงไม่มีวันทำได้แบบนั้น เงิน 11.7 ล้านท่ี่เจ้าของต้องควักกระเป๋าจะตอบแทนกลับมาด้วยการนั่งที่สบายสุดๆ บนรถคันนี้ น่าเสียดายที่เจ้าของรถบางคนไม่เคยได้สัมผัสกับพละกำลังเกือบ 400 แรงม้า และการควบคุมที่อยู่ในระดับเดียวกับเครื่องบินโดยสารส่วนตัว เศรษฐีใหม่บางคนรวมถึงอาแปะ อากง อาม่า ที่ไม่สันทัดภาษาอังกฤษก็ยังสั่งงานปรับโหมดต่างๆ ของเจ้า LS 460L ได้อย่างสะดวกจากเมนูภาษาไทยและโปรแกรมการเข้าใช้งานที่ง่ายดายราวกับของเด็กเล่น ด้วยเงินขนาดนั้นเจ้าของรถจะได้ช่วงล่างแบบ Air Suspension เกียร์ 8 อัตราทดที่ทำงานได้ลื่นไหลราวกับสายน้ำ ห้องโดยสารที่กว้างขวางอย่างกับห้องนั่งเล่น รวมถึงภาพลักษณ์ของผู้ดีมีตระกูลที่เลือกความแตกต่างแทนที่จะเหมือนกับใครบนท้องถนน แบรนด์ Lexus คือยนตรกรรมที่คุณต้องเป็นผู้ค้นหาเอาเองว่ามันมีดีอะไรถึงกล้าที่จะไปเทียบรัศมียานยนต์ของพวกเยอรมัน สำหรับผมแล้ว ตลอดระยะเวลา 5 วันกับรถรุ่นสูงสุด LS 460L เป็นความประทับใจยากที่จะลืมจริงๆ.อาคม รวมสุวรรณE-Mail chang.arcom@thairath.co.thFacebook https://www.facebook.com/chang.arcom 

Tuesday, January 29, 2013

ไฮโซรุ่นเล็กรุ่นเก๋าคับคั่งงานปาร์ตี้ มายแฟร์เลดี้

ไฮโซรุ่นเล็กรุ่นเก๋าคับคั่งงานปาร์ตี้ มายแฟร์เลดี้
ปราโมทย์–ศิรินา ปวโรฬารวิทยา พร้อมหน้าทั้งครอบครัว ปณิธาน–นัยนา ปวโรฬารวิทยา, ภพ–ประวรา เอครพานิช และหลานๆ.เปิดรับศักราชใหม่ด้วยความคึกคัก ศิรินา โชควัฒนา ปวโรฬารวิทยา ผู้บริหาร บริษัท บูติคนิวซิตี้ จำกัด (มหาชน) จัดงานสังสรรค์ประจำปี “I Love You 2013” ในธีมโรแมนติกสุดคลาสสิก “My Fair Ladies” โดยชวนมิตรสหายทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ อาทิ คุณหญิงเยาวรัตน์ เตชะเวช, คุณหญิงกิ่งแก้ว เอื้อทวีกุล, สุมณี คุณะเกษม, คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช, กลอเรีย มหาดำรงค์กุล ฯลฯ แต่งชุดสวยเลียนแบบนักแสดงในภาพยนตร์ชื่อดัง “มาย แฟร์ เลดี้” ที่นำแสดงโดยออเดรย์ แฮปเบิร์น กับเร็กซ์ แฮร์ริสัน เพื่อสร้างสีสันและบรรยากาศสนุกสนาน ที่ราชกรีฑาสโมสรบุรินทร์ วงศ์สงวน ควง คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช โชว์สเต็ปกลางฟลอร์ลีลาศ.สุวลักษณ์ มหันตคุณ, ศิรินา โชควัฒนา ปวโรฬารวิทยา และจรรยา สว่างจิตร ร่วม สนุกสนานในธีมมาย แฟร์ เลดี้.กลอเรีย มหาดำรงค์กุล และสุมณีคุณะเกษม โดดเด่นทั้งคู่ จึงคว้ารางวัลมาย แฟร์ เลดี้ ไปครองอย่างสบายๆ.งานนี้ทุกคนต่างจัดเต็มแบบไม่มีใครยอมใคร โดยเจ้าภาพได้จัดเตรียมเครื่องประดับหลากหลายแบบ เพื่อให้แขกที่มาร่วมงานได้เลือกสวมใส่ให้เข้ากับบรรยากาศอีกด้วย สำหรับแม่งาน “ศิรินา” ได้นำขบวนสมาชิกทั้งหมดในครอบครัว ทั้งสามี ลูกชายหญิง เขย สะใภ้ และหลานๆ มาร่วมรับแขกอย่างพร้อมหน้า โดยได้รับเกียรติจาก “ภูมินหะรินสุต” ประธานสปอร์ตคลับ กล่าวเปิดงานและอวยพรปีใหม่ จากนั้น “คุณหญิงกิ่งแก้ว  เอื้อทวีกุล” เป็นผู้เปิดฟลอร์ นอกจากนี้ในงานยังสนุกสนานด้วยการค้นหาตัว Brand Ambassador ของแฟชั่นแบรนด์ต่างๆในเครือบูติคนิวซิตี้ ทั้ง Guy Laroche, GSP, LOFFICIEL, C&D และ JOUSSR และมอบรางวัลที่สตรีทุกคนรอคอย My Fair Ladies Awards ให้แก่ผู้แต่งกายเข้าธีมอีก 10 คนด้วย มีอาทิ กลอเรีย มหาดำรงค์กุล, สุมณี คุณะเกษม, ดวงทิพย์ ศรีเฟื่องฟุ้ง.

NEW FOCUS EURO NCAP CRASH TEST

NEW FOCUS EURO NCAP CRASH TEST
บททดสอบความปลอดภัยของ New Focus ด้วยการทดสอบการชนทั้งแบบเสมือนจริงและการชนจริงรวมกว่า 12,000 ครั้ง เพื่อพิสูจน์การทำงานของเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย...วิศวกรด้านความปลอดภัยของ Ford ทั้งในประเทศสหรัฐฯ และเยอรมนีทดสอบการชนของ Focus ใหม่ ทั้งแบบเสมือนจริงและการชนจริงมากกว่า 12,000 ครั้ง เพื่อพิสูจน์การทำงานของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ออกแบบขึ้นเพื่อช่วยปกป้องความปลอดภัยของผู้โดยสารเมื่อเกิดการชน ALL NEW FORD FOCUS ผ่านบททดสอบแบบเข้มข้นทั้งการทดสอบความสามารถในการปกป้องผู้โดยสารและการจำลองรถทั้งคันเพื่อทดสอบการชนแบบเสมือนจริง ซึ่งระบบจำลองที่คล้ายคลึงกับการทดสอบจริงอย่างมากนี้ ช่วยลดจำนวนครั้งในการทดสอบการชนจริงๆ ลงได้มาก การพัฒนาโฟกัส ใหม่ให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยในระดับโลกทำให้รถคันนี้มีความสามารถในการปกป้องผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมากในกรณีที่เกิดการชน มร.แมท นีสลูโควสกี ผู้จัดการด้านความปลอดภัยของฟอร์ด แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ข้อกำหนดด้านความปลอดภัยในประเทศต่างๆ นับว่ามีความซับซ้อนอย่างมาก การที่ทีมงานด้านความปลอดภัยของฟอร์ดทั่วโลกทำงานร่วมกันตั้งแต่ขั้นตอนแรกๆ ของการพัฒนารถ เราจึงมั่นใจว่าโฟกัส ใหม่จะมีมาตรฐานเดียวกัน หรือเหนือกว่าข้อกำหนดของแต่ละประเทศการนำระบบคอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณงานวิศวกรรมมาใช้ในการจำลองรถและทดสอบการชน แบบเสมือนจริงหลายพันครั้ง ช่วยให้วิศวกรของฟอร์ดทดสอบผลงานการออกแบบได้หลายร้อยแบบ การทดสอบชนจริงๆ จะกระทำขึ้นหลังจากงานออกแบบดังกล่าวผ่านการทดสอบแบบเสมือนจริงมาแล้วมากมาย ทั้งนี้เพื่อตรวจสอบและพิสูจน์ผลที่ได้จากการทดสอบแบบเสมือนจริงในระบบ คอมพิวเตอร์อีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าทุกรายละเอียดทั้งภายนอกและภายในจะได้รับการออกแบบอย่างถูกต้องตามกฎข้อบังคับต่างๆ “เรานำระบบคอมพิวเตอร์แบบเสมือนจริงมาใช้มากกว่าที่เคยเพื่อช่วยให้ชิ้นส่วนของรถทุกรายการได้รับการออกแบบอย่างดีที่สุดเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่ เนื่องจากการทดสอบการชนเป็นงานที่มีความซับซ้อนอย่างมาก เพราะชิ้นส่วนและระบบต่างๆ หลายร้อยรายการต้องทำงานอย่างสอดประสานกัน เราจึงจำเป็นต้องทดสอบการชนด้วยรถจริงๆ เพื่อประเมินผลอีกครั้ง หลังจากการทดสอบในระบบคอมพิวเตอร์เสร็จสิ้นลง” นอกจากนี้ โฟกัส ใหม่ ยังนำเสนอนวัตกรรมด้านความปลอดภัยใหม่ๆ อีกมากมาย ซึ่งรวมถึงถุงลมนิรภัยสำหรับผู้ขับขี่รุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยช่วยปกป้องการบาดเจ็บบริเวณอก จากการออกแบบที่ใช้ระบบดึง ส่วนล่างของถุงลมรูปทรงโค้งเข้าไปเก็บไว้ด้านใน ทำให้ถุงลมนิรภัยมี “ลักยิ้ม” เพื่อลดโอกาสที่ถุงลมนิรภัยจะกระแทกหน้าอกและซี่โครงของผู้ขับขี่เมื่อเกิดการชนจากด้านหน้ากระบวนการรีดเหล็กให้เหมาะสมกับแต่ละส่วนโดยเฉพาะ (Tailor rolling process) นอกจาก การติดตั้งถุงลมนิรภัยรุ่นใหม่แล้ว โครงสร้างตัวถังของฟอร์ด โฟกัส ใหม่ ยังช่วยปกป้องความปลอดภัยจากการชนได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มความแข็งแรงให้กับเสากลางซึ่งเป็นโครงสร้างหลักที่ทำจากเหล็กที่มีความแข็งแรงสูงพิเศษ และผลิตขึ้นด้วยนวัตกรรม “กระบวนการรีดเหล็กให้เหมาะสมกับแต่ละส่วนโดยเฉพาะ” (Tailor rolling process) กระบวนการดังกล่าวช่วยให้แผ่นเหล็กที่ผ่านการรีดแล้วมีความหนาต่างกันตลอดความยาวของแผ่น ดังนั้น พื้นที่ซึ่งคาดว่าจะต้องรับแรงกระแทกมากที่สุดจึงมีความแข็งแรงมากขึ้น โครงสร้างตัวถังของฟอร์ด โฟกัส ใหม่ มีส่วนผสมของเหล็กที่มีความแข็งแรงสูงในสัดส่วนถึง 55 เปอร์เซ็นต์ โดยกว่า 26 เปอรเซ็นต์ของโครงสร้างตัวถังดังกล่าวทำจากเหล็กที่มีความแข็งแรงสูงพิเศษ และเหล็กโบรอน การเลือกใช้วัสดุที่ดีเยี่ยมเหล่านี้ทำให้โครงสร้างตัวถังของ โฟกัส ใหม่มีความสามารถรองรับการชนได้ตามมาตรฐานที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำหนด ทั้งยังช่วยลดน้ำหนักของรถเพื่อการประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้นติดตั้งระบบป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุมากมาย เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อย่างปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการเกิดการชน ระบบควบคุมเสถียรภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ESP) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งอยู่ในฟอร์ด โฟกัส ใหม่ทุกรุ่น ที่มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ ระบบอันทันสมัยนี้ใช้สมองกลอันชาญ ฉลาดตรวจวัดการทำงานของรถอย่างสม่ำเสมอ และจะแทรกแซงการทำงานเมื่อจำเป็น ซึ่งโดยมากผู้ขับขี่จะไม่รู้สึกถึงการทำงานของระบบเลย ระบบดังกล่าวประกอบด้วย *ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ซึ่งรวมถึงระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) และระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง *ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน *ระบบช่วยเบรกล่วงหน้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบเตือนการเบรกฉุกเฉิน *ระบบควบคุมเสถียรภาพในการขับขี่ ซึ่งประกอบด้วย ระบบควบคุมเสถียรภาพของเครื่องยนต์ และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี *ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง *ระบบป้องกันล้อล็อกบนถนนลื่นเมื่อใช้เอนจิ้นเบรกการบูสต์เพลาขับล้อหลังแบบไฮดรอลิก ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน.VDOPhoto By EURO NCAP อาคม รวมสุวรรณE-Mail chang.arcom@thairath.co.thFacebook https://www.facebook.com/chang.arcom 

มงคลรับตรุษจีน ช็อปปิ้งเฮงๆ รับปี งูเล็ก

มงคลรับตรุษจีน ช็อปปิ้งเฮงๆ รับปี งูเล็ก
ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ (ปีใหม่ขอให้ทุกอย่างสมหวัง ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย) คำอวยพรที่เราได้ยินเสมอในช่วงเทศกาลมงคลของพี่น้องชาวจีน และคนไทยเชื้อสายจีน เพราะนี่คือวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินจีน หรือ “ตรุษจีน” ซึ่งตรุษจีน “ปีมะเส็ง” นี้ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 10 ก.พ.56เมื่อใกล้วันตรุษจีนผู้คนต่างเตรียมต้อนรับ โดยทำความสะอาดบ้านเรือน เพื่อจะผ่านปีใหม่อย่างสะอาดสะอ้านสดใส มีการออกไปจับจ่ายใช้สอย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ซื้อของขวัญให้แก่ญาติสนิทมิตรสหาย ซื้อบัตรอวยพร ตลอดจนสารพัดสิ่งของต่างๆ มาตกแต่งบ้าน เพื่อเสริมสิริมงคล ไม่ว่าจะเป็นแจกันสีแดง, หมอนสีแดงลายมังกรสีทอง, ถุงส้ม ตุ๊กตามงคล เป็นต้น โดยจะเน้นไปที่สีแดง เพราะเชื่อว่าเป็นสีที่จะช่วยขับไล่ปิศาจร้ายออกไป รวมถึงสีมงคลอย่างสีทองด้วยโอกาสนี้ ห้างเซ็นทรัลจึงจัดรายการ “Central Chinese New Year” ต้อนรับเทศกาลมงคล โดยคัดสรรสินค้าหลากหลาย พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษ อาทิ สินค้าเคาน์เตอร์ปกติลดสูงสุด 30% ทุกวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ ในช่วงจัดรายการ (8-10 และ 15-17 ก.พ.56) ช็อปฯ ครบทุก 2,000 บาท รับสิทธิประโยชน์ 3 ต่อ 1.รับอั่งเปาแทนเงินสด 100 บาท 2.รับคะแนนสะสม The 1 Card เพิ่ม 100 คะแนน และ 3.ลุ้นรับฟรี ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-มาเก๊า ตั้งแต่วันที่ 7 - 17 ก.พ. 56 ที่ห้างเซ็นทรัลทุกสาขา และเซน, ช็อปในเซ็นทรัลเวิลด์, ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา แกรนด์พระราม 9, ลาดพร้าว และศูนย์การค้าสีลมคอมเพล็กซ์ 

Sunday, January 27, 2013

ดาวเลย ทุ่ง จักรวาล ดาวเรือง...!

ดาวเลย ทุ่ง จักรวาล ดาวเรือง...!
ไม่รู้ใครเป็นคนตั้งชื่อดอกไม้ดอกนี้เป็นคนแรก,แต่ชื่อเสียงเรียงนามมันสื่อความหมายได้เป็นอย่างดี ภาพเล่าเรื่องสัปดาห์นี้ ตฤณ จันทร์สว่าง ช่างภาพคนเก่งของไทยรัฐออนไลน์บอกว่าเป็นซีรีส์สุดท้ายของ จ.เลย เป็นภาพทุ่ง ดอกดาวเรือง ที่เหลืองเรืองรองที่ดูแล้วสุกสว่างทั้งหัวใจ!**รู้ไว้ใช่ว่า**- ดาวเรือง หรือ ชื่อวิทยาศาสตร์: Tagetes erecta L  ชื่อสามัญ: Marigold นิยมปลูกตัดดอก เป็นดาวเรืองในกลุ่ม African หรือ American marigold เป็นพันธุ์ดอกใหญ่ พันธุ์ที่ใช้เป็นการค้าในประเทศไทยได้แก่ พันธุ์ซอเวอร์เรน (soverign) นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่นำเข้ามาได้แก่ พันธุ์จาไมก้า (jamaica) และอื่นๆ อีกหลายพันธุ์ ดาวเรืองขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดเป็นหลัก อาจใช้การปักชำได้ แต่ต้นที่ได้จะให้ดอกที่มีขนาดเล็กกว่า- ดอกดาวเรืองใช้ร้อยพวงมาลัยชนิดต่างๆ เพื่อการบูชาพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ กลีบดอกดาวเรืองมีสารสีเหลืองที่เรียกว่า xanthophyll สูง จึงมีการปลูกเพื่อเก็บดอกเพื่อเอาไปเป็นส่วนผสมของอาหารไก่ไข่เพื่อให้ไข่แดงมีสีแดงสวยทดแทนสารสังเคราะห์ดาวเรืองสะสมสารหนูได้ 42% ในใบ จึงมีประโยชน์ในการฟื้นฟูดินที่ปนเปื้อนสารหนู - วิกิพีเดีย 

Mini greenhouse: Grows on you

Mini greenhouse: Grows on you
Trend@home วันนี้พามาชมเรือนเพาะต้นไม้ขนาดเล็ก มาพร้อมกับความน่ารัก ซึ่งน่าจะโดนใจนักสะสมต้นไม้ขนาดจิ๋วทั้งหลาย เรามีวิธีทำอย่างละเอียด อัดแน่นอยู่ในคอลัมน์นี้อยู่แล้ว เตรียมอุปกรณ์ของคุณให้พร้อม แล้วไปลุยกันเลย... *แนวคิดหลายท่านอาจจะคุ้นเคย กรีนเฮาส์ ขนาดใหญ่ ที่ไว้สำหรับปลูกผัก เพาะชำต้นไม้กันมาบ้างแล้ว แต่มีใหญ่ๆ แล้ว ก็ควรจะมีขนาดกะทัดรัดด้วยใช่ไหมล่ะ ประกอบกับกระแสสวนขวดแก้ว แบบ Terrarium ช่วงหลังก็มาแรงน่าดู สามารถนำเจ้ากรีนเฮาส์หลังน้อยนี้ ไปจัดสวนเป็นตู้กระจกได้สบายๆ ลักษณะการใช้งานนั้นจะใช้ปลูกไม้กระถางโชว์เพื่อความสวยงามประดับตามมุมบ้าน หรือจะโรยเมล็ดปลูกเป็นแปลงอนุบาลต้นไม้ก็ได้เช่นกัน*ไอเดียนี้เหมาะกับในกรณีที่วางในบ้านนั้น เราสามารถวาง mini greenhouse ไว้ส่วนใดของมุมบ้านก็ได้ที่มีแดดส่องถึง เป็นบริเวณที่มีลมพัดผ่าน อย่างเช่นริมหน้าต่างห้องนั่งเล่น เลือกปลูกเป็นพืชที่ต้องการแดดสักครึ่งวัน ส่วนกรณีวางอยู่ภายนอกบ้าน ที่ๆ ดูจะเหมาะสมควรเป็นนอกชานบ้าน หรือระเบียงห้องนอน เป็นพื้นที่เอาต์ดอร์ที่เราได้ใกล้ชิดและมองเห็นบ่อย หากวางในที่แสงแดดส่องเกินครึ่งวัน เลือกปลูกไม้ประเภท แคคตัส หรือซัคคิวเลนท์ ก็ดูเข้ากันได้ดีกับเรือนกระจกใบน้อยหลังนี้ ส่วนใครจะนำไปวางที่ออฟฟิศก็สามารถทำได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าควรยกออกมาสัมผัสอากาศนอกห้องบ้าง เพราะภายในอาคารที่ติดเครื่องปรับอากาศ สภาวะความชื้นจะต่ำ อาจทำให้ต้นไม้ของเราไม่สวยงามเท่าที่ควร*Check Priceค่าไม้และกระจกรวม 1, 000 บาทค่าแรง 700 บาททั้งหมด 1,700 บาทDiagram*วิธีทำทำโครงบ้านเมื่อตัดไม้ได้ตามขนาดที่กำหนดแล้ว นำมาเซาะร่องเพื่อติดกระจก โดยใช้เครื่องเซาะร่องไม้ (Router)ลักษณะของไม้ที่ผ่านการเซาะร่อง (ทำเป็นตัวขยาย detail โยงออกมา)ประกอบไม้เข้าด้วยกัน โดยเริ่มประกอบบานหน้าจั่วก่อนจากนั้นก็ลงมือสร้างบ้านกันเลย ลักษณะจะเหมือนเป็นเฟรมบ้านขนาดเล็กทำบานเปิด 1 ชิ้น โดยอ้างอิงระยะ กว้างxยาว จากขนาดหลังคาเฟรมบ้านทั้งหมด เสร็จเรียบร้อยติดกระจก และตกแต่งตัดกระจกตามขนาดของช่องทั้ง 5 ด้านยิงกาวซิลิโคนเข้าบริเวณร่องกระจก ติดให้เรียบร้อย และปล่อยให้แห้งประมาณ 1 วันทำพื้นระแนง เว้นร่องประมาณ 1 เซนติเมตรติดบานพับบริเวณยอดหลังคา เป็นบานเปิดขึ้นบนขั้นตอนสุดท้ายติดมือจับเล็กๆ เพื่อความสะดวกในการใช้งานMoodTipsเรือนเพาะชำหลังนี้ ทำจากไม้ลัง ซึ่งคุณภาพในการวางอยู่ภายนอกบ้านไม่ทนทานต่อสภาพความชื้น หากคุณต้องการที่จะวางอยู่ภายนอกอย่างถาวร แนะนำให้เปลี่ยนวัสดุเป็นกรอบอะลูมิเนียม หรือไม้เนื้อแข็ง อย่างเช่น ไม้เต็ง หรือไม้สัก แทนต้นไม้ที่เลือกปลูก แนะนำว่าควรเป็นไม้พุ่มเล็ก หรือที่มีรูปทรงไม่เกะกะมาก อย่างเช่น ไม้คลุมดินประเภท ผักเป็ดแดง ริบบิ้นเขียว หรือตระกูลไม้อวบน้ำ อย่างกุหลาบหิน งานกระจกเป็นงานที่ค่อนข้างอันตราย และมีการใช้อุปกรณ์ที่ค่อนข้างเฉพาะทาง หากเกินความสามารถของท่าน แนะนำว่าให้สั่งตัดตามร้านกระจก หรือร้านกรอบรูปทั่วไปจะดีกว่าขอบคุณ my home ฉบับเดือนธันวาคม คอลัมน์ my garden makeoverwww.myhome-mag.com

ท้าแดดร้อนแรง เบิกบานสดใสพร้อมเครื่องประดับ Pandora

ท้าแดดร้อนแรง เบิกบานสดใสพร้อมเครื่องประดับ Pandora
อย่าไปกลัวแม้แดดจะแรง อากาศจะร้อนสักแค่ไหน อย่าหยุดที่จะแต่งตัวสวยออกไปเฉิดฉายอวดโฉม แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเครื่องประดับที่ Pandora พร้อมเอาใจแฟชั่นนิสต้าทั่วโลกความสวยงามของช่วงสปริงและซัมเมอร์เปี่ยมไปด้วยความเบิกบานสดใสเฉกเช่นเดียวกับแบรนด์ Pandora แบรนด์จิวเวลรี่จากประเทศเดนมาร์ก ที่สามารถเรียงร้อยเรื่องราวของคุณส่งผ่านความรู้สึกและจินตนาการ โดยในฤดูกาลแห่งความสุขสดใสนี้ ทางแบรนด์ขอแนะนำคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุด ที่บรรจงสรรสร้างผ่านแรงบันดาลใจต่างๆ มอบให้แก่คุณผ่าน 4 คอลเลกชั่นล่าสุดจากแพนโดร่า อันได้แก่Cherry Blossom Collection: คอลเลกชั่นที่มีกลิ่นอายฝั่งตะวันออก (Oriental) ความสวยงามอ่อนหวาน ลวดลายดอกไม้ ความประณีตละเอียดอ่อน และความมีเสน่ห์ลึกลับน่าค้นหา (Sophisticated)Unique Artistry Collection : คอลเลกชั่นที่เปรียบประดุจงานสร้างสรรค์ของอาร์ตทิสต์ที่มีจินตนาการเลิศล้ำ ประกอบเข้ากับความประณีตในการทำของช่างฝีมือเอก และความทันสมัยEnchanted Fairy Tales Collection: คอลเลกชั่นที่ดุจเทพนิยายในจินตนาการอันน่าสัมผัส มีความน่ารักสดใส สนุกสนาน ลึกลับและมีเสน่ห์ยากที่จะลืมเลือนUndying love and romance : คอลเลกชั่นที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์และความหรูหรา เรียงร้อยเรื่องราวแห่งความรักและความโรแมนติกที่น่าจดจำไปชั่วตราบนานเท่านาน...และทั้งหมดนี้คือช่วงเวลาดีๆ ที่น่าจดจำในอีกรูปแบบที่ Pandora สร้างสรรค์มาเพื่อคนรักจิวเวลรี่โดยเฉพาะ และนี่คือที่มาของคอนเซปต์จากแพนโดร่า “Unforgettable Moments” 

Saturday, January 26, 2013

เดินช้า...ช้า บนภูกระดึง

เดินช้า...ช้า บนภูกระดึง
               หากเอ่ยถึงแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยอยากไปสัมผัสอากาศหนาวๆ ทุ่งสนสวยๆ พระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า ในอันดับแรกๆ ต้องมี ภูกระดึง อย่างแน่นอน อะไรคือความประทับใจที่หลายๆ คนอยากไป จะไปครั้งแรกหรือหลายครั้งแล้วก็ตาม                 เราเดินทางไปขึ้นภูกระดึงครั้งนี้ ก็เป็นครั้งที่ 8 แล้ว นับจากครั้งแรกในการขึ้นภูกระดึงกับเพื่อนๆ เกือบสิบคน สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ไปสัมผัสความท้าทายในการเดินขึ้นเขาและเดินทางราบ แม้ในการไปในครั้งถัดๆ มาจนถึงครั้งล่าสุด จะเดินบนเส้นทางเดิม วิวเดิม และยังคงมีความทรงจำสวยงาม เกิดขึ้นอยู่เสมอ ครั้งนี้วางแผน นอนบนภูกระดึง สองคืน                  การเดินทาง หากไปรถประจำทางก็ลงที่ผานกเค้า แหล่งรวมพลคนที่ขึ้นภูกระดึงก็ว่าได้ แล้วต่อรถสองแถวไปอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เพื่อเตรียมตัวขึ้นภูกระดึงกัน เมื่อถึงอุทยานเสียค่าบัตรเข้าอุทยาน ถ้าเอาเต็นท์ไปกางเองก็เสียค่ากางเต็นท์นิดหน่อย แล้วก็เตรียมตัวเดินขึ้นได้ คนที่ไม่อยากแบกสัมภาระเอง สามารถติดต่อให้ลูกหาบแบกไปให้ได้ ราคาล่าสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 30 บาท                 การเดินขึ้นเขาแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกเป็นการเดินจากเชิงเขาไปถึงสันเขา (หลังแป) ระยะทาง 5.5 กิโลเมตร และช่วงที่สอง เดินทางราบจากหลังแปไปที่พัก ระยะทาง 3.7 กิโลเมตร การเดินทางช่วงแรก เป็นการเดินที่ท้าทายกำลังใจเป็นอย่างมาก เพราะค่อยๆ ไต่ระดับความชัน เหนื่อย เหงื่อออก หิวน้ำ กันถ้วนหน้า มีเพิงขายเครื่องดื่ม อาหาร ของที่ระลึกเป็นระยะ ราคาจะเพิ่มขึ้นตามความสูง                 เสื้อผ้าแบบสบายๆ กับรองเท้าที่กระชับ จะง่ายต่อการเดิน เดินไป พักไป คุยกันไป จะได้อรรถรสในการขึ้นภูกระดึงในวันที่ขึ้นมีนักท่องเที่ยวตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไปจนถึง 70 ปี ก็มี เป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ จะเดินขึ้นแบบได้เรื่อยๆ ใช้เวลาขึ้นเขาราว 2-3 ชั่วโมง แต่ถ้าใครไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย อาจจะใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง                 ถึงหลังแป จะพบกับป้าย “เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” หลายคนพร้อมใจกันหยุดตรงนี้ ทั้งพักเหนื่อย และ "ถ่ายรูป" ร่วมกัน ก่อนจะเดินไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (วังกวาง) อีก 3 กิโลเมตรกว่า แม้จะเป็นทางราบแต่ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง                 เมื่อถึงจุดที่พัก นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อเข้าบ้านพักสำหรับคนที่จองมาเรียบร้อยแล้ว หรือจะติดต่อขอเช่าเต็นท์จากอุทยานก็ได้ พร้อมกับเครื่องนอน ใครที่จ้างลูกหาบแบกสัมภาระ ก็ต้องรอรับสัมภาระด้วย จากนั้น แต่จริงๆ ถ้าไปถึงเร็ว ก็เข้าที่พัก พักผ่อนเอาแรงสักหน่อยก่อนยังได้ เพราะกว่าสัมภาระจะมาก็บ่ายกว่า หรือใครแรงดี ก็ออกเดินสำรวจบริเวณที่พัก เช่น ร้านอาหาร ร้านค้าชุมชน ที่นี่อาหารและเครื่องดื่มแพงกว่าปกติ เพราะต้องใช้ลูกหาบขนของขึ้นมา เช่น ข้าวราดแกง 2 อย่างประมาณ 60-70 บาท น้ำดื่มขนาด 500 มิลลิลิตร ราคาประมาณ 35 บาท                  ตอนเย็น นักท่องเที่ยวจะเดินทางชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ ผาหมากดูก ระยะทางประมาณ 2.2 กิโลเมตรจากที่พัก โดยควรจะออกจากที่พักประมาณสี่โมงครึ่ง เพื่อให้ไปทันพระอาทิตย์ตก หากไปถึงก่อนสามารถเดินชมทิวทัศน์ได้ รวมถึงเดินหามุมถ่ายรูป เช่น ยอดสนที่โน้มต่ำ กับพระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้า และควรเตรียมเสื้อแขนยาวสำหรับกันหนาว กันลม และไฟฉายด้วย เนื่องจากเวลาเดินกลับจะมืดและอากาศเย็นลง                 เช้าวันรุ่งขึ้น นักท่องเที่ยวตื่นกันแต่เช้า โดยเจ้าหน้าที่อุทยานจะประกาศให้นักท่องเที่ยวมาพร้อมกันที่ศูนย์บริการเวลา 5 นาฬิกา เพื่อนำทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ ผานกแอ่น ระยะทางประมาณ 1.6 กิโลเมตร จังหวะดีจะมีทะเลหมอกให้ได้ชม พร้อมกับพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ขึ้นมาจากสันเขา                 วันนี้ เราออกเดินสำรวจธรรมชาติกัน มีเส้นทางยอดนิยมคือ เส้นทางชมน้ำตก เริ่มจากน้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ และน้ำตกถ้ำใหญ่ ถ้าเป็นช่วงหลังฤดูฝนเข้าฤดูหนาว จะมีน้ำค่อนข้างเยอะ แต่ก็จะมีทากน้อยๆ คอยกระดึบๆ มากินเลือดเรา หรือหากมาช่วงปลายเดือนธันวาคม น้ำตกจะมีน้ำน้อย แต่จะได้เห็นใบเมเปิลเป็นสีแดงเต็มต้น หรือร่วงหล่นบนพื้นดิน ก้อนหิน ลำธาร สวยมาก ทั้งที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่ และน้ำตกถ้ำใหญ่ เส้นทางนี้อาจจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะเดินไปตามทุ่งสนเพื่อไปบรรจบที่ ผาหล่มสัก อันเป็นจุดสำคัญที่ทุกคนอยากไปสัมผัสความงดงามของชะง่อนหินที่ยื่นออกไป พร้อมกับกิ่งของต้นสนที่โน้มลงมา ให้นักท่องเที่ยวไปนั่งถ่ายรูปกัน                 สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินเส้นทางน้ำตกและไปยังผาหล่มสัก ควรเตรียมอาหารกลางวันและน้ำดื่มมาด้วย เผื่อหิวระหว่างทาง                 บริเวณผาหล่มสัก จะมีร้านอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการ เวลาเดินมาถึงผาหล่มสัก ของโปรดอย่างหนึ่งคือ ส้มตำ รสชาติจัดจ้าน กระตุ้นร่างกาย ลดความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี ร้านกาแฟแห่งแรกบนภูกระดึงก็อยู่ที่นี้ด้วย ใครซื้อกาแฟหนึ่งแก้ว จะได้โปสการ์ดงามๆ หนึ่งใบ หรือจะอุดหนุนร้านกาแฟของชาวบ้านก็ได้ บริเวณผาหล่มสัก ในวันที่มีนักท่องเที่ยวมาก อาจจะต้องเข้าแถวรอถ่ายรูปกันเลย                 จะรอชมอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก หรือเลือกมาชมที่ผาหมากดูกที่อยู่ใกล้กว่าก็ได้ โดยใช้ เส้นทางเลียบผา ซึ่งจะผ่าน ผาแดง ผาเหยียบเมฆ ผานาน้อย ผาจำศีล และผาหมากดูก เส้นทางตามผาต่างๆ จะได้พบกับดอกไม้และต้นไม้แปลกตา เช่น กระดุมเงิน ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น ชวนให้หยุดพักถ่ายรูปได้ตลอดเส้นทาง ปัจจุบันมีจักรยานให้นักท่องเที่ยวได้เช่าเพื่อขี่เที่ยวเส้นทางต่างๆ ได้ แต่เส้นทางเป็นดิน ทราย ขรุขะบ้าง                 ระยะทางโดยรวมของวันนี้ เส้นทางน้ำตกและเส้นทางหน้าผา ประมาณ 20 กิโลเมตร เหนื่อยกันขาลากเลย เส้นทางเวลากลับ จะได้ยินนักท่องเที่ยวคุยกันว่า เหนื่อย เมื่อย หมดแรง แต่น้ำเสียงมีความสุขและอยากกลับมาอีก ถึงที่พักมืดค่ำ คืนนี้บางคนอาจต้องพึ่งยาคลายกล้ามเนื้อกันเลยทีเดียว                 เช้าวันรุ่งขึ้น ถ้าไม่ไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ก็เตรียมตัวแพ็กของลงจากภูกระดึงกัน ถ้าต้องการให้ลูกหาบแบกสัมภาระให้ ก็นำสัมภาระไปศูนย์บริการ เพื่อชั่งน้ำหนักและเก็บหางบัตรไว้เวลารับกระเป๋าที่เชิงเขา แล้วก็เดินกลับเส้นทางเดิมของวันแรก สู่ด้านล่างของเชิงเขา...ถ้าใครอยากเลี่ยงคนเยอะ ก็แนะนำให้ไปวันธรรมดาที่ไม่ใช่เทศกาล                  เมื่อขึ้นถึงภูกระดึงแล้ว นักท่องเที่ยวควรช่วยกันดูแลธรรมชาติ ไม่ทิ้งก้นบุหรี่ (เพราะอาจเกิดไฟไหม้) ไม่เด็ดดอกไม้ ไม่ทิ้งขยะระหว่างทาง และเก็บขยะลงมาทิ้งข้างล่างได้จะดีที่สุด    ............................................................ การเตรียมตัว 1.ฟิตร่างกายก่อนมาภูกระดึง สำหรับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ 2.เสื้อผ้าและสัมภาระ นำมาแต่พอดี จะได้ไม่ต้องเป็นภาระ 3.ยาประจำตัว หรือยาสามัญเบื้องต้น เช่น ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาดม ยาหม่อง 4.ลูกอม ขนมขบเคี้ยว นิดหน่อย สำหรับระหว่างการเดินทาง   ............................................................. (เดินช้า...ช้า บนภูกระดึง : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง / ภาพ : adamfeelgood เดินช้าๆ ได้ใจงามๆ )    

คืนข้ามปีที่เคปทาวน์

คืนข้ามปีที่เคปทาวน์
               อาจจะไม่ได้อยู่ในลิสต์ของสุดยอดเมืองเคานท์ดาวน์ แต่ เคปทาวน์ (Cape Town) แห่งแอฟริกาใต้ ก็อยู่ในลิสต์ของเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมเสมอ ชาวบ้านอาจจะตั้งใจไปปีนภูเขาโต๊ะ (Table Mountain) แต่ฉันตั้งใจไปอยู่กับเคปทาวน์ในคืนข้ามปี ไม่ใช่อะไรหรอก ไม่อยากหนาวเหน็บในคืนข้ามปีอีกแล้ว นิวยอร์กในคืนเคานท์ดาวน์ทำให้เข็ดขยาดกับอุณหภูมิที่กรีดเฉือนเลือดเนื้อ ปีถัดมาเลยไปเคาท์ดาวน์ที่แทนซาเนีย อยู่กับสิงสาราสัตว์กลางป่าซะเลย แต่จะดีแค่ไหนล่ะ ถ้าได้ไปนับถอยหลังในเมืองที่อากาศดี วิวห้าดาว ไม่หนาว ไม่ร้อน ในเมืองสุดฮอตยอดฮิตเมืองหนึ่งของโลกอย่างเคปทาวน์                  ที่จริงเที่ยวนี้เริ่ดตั้งแต่ออกตัวแล้ว เพราะสายการบินเอมิเรตส์ (www.emirates.com) ที่พาเหาะไปหาเคปทาวน์ทุกวันเขาพาบินไปแวะดูไบก่อน ระยะบินประมาณ 6 ชั่วโมงนั้นแสนสะดวกสบาย เพราะโดยสารไปกับเที่ยวบินแอร์บัส A380 เครื่องบิน 2 ชั้นที่จุผู้โดยสารได้เกือบ 500 คน ที่นั่งกว้างขวางและบริการอันยอดเยี่ยมทำให้ช่วยคลายเหนื่อย จากนั้นบินต่อไปอีก 9 ชั่วโมงจึงถึงเคปทาวน์                 คนไทยไปเที่ยวแอฟริกาใต้ไม่ต้องทำวีซ่า แต่ที่ทำให้วิงเวียนก่อนเดินทางอยู่เป็นเดือนคงเป็นเรื่องที่พัก ความที่เป็นช่วงพีคสุดของเคปทาวน์ เพราะใครๆ ก็อยากไปเคานท์ดาวน์กันที่นี่ด้วยกันทั้งนั้น ที่พักทั่วเมืองพร้อมใจกันขยับราคา และมีตัวเลือกน้อยลงเรื่อยๆ เลยเดือดร้อนเว็บไซต์อโกดา (www.agoda.com) ให้ช่วยสแกนหาเรือนพักย่านกลางเมืองที่ราคายังพอรับไหว คลิกเข้าไปดูแอพพลิเคชั่นของอโกดาที่โหลดไว้บนสมาร์ทโฟน โฟกัสไปเจาะแถวใจกลางเมือง ย่าน City Bowl  ก็พบว่ายังพอมีที่ให้เอนหลัง ใครไปเที่ยวเคปทาวน์แนะให้พักแถวนี้ เพราะนี่เป็นมุมที่จะไปไหนมาไหนก็ค่อนข้างสะดวก ใกล้แหล่งท่องเที่ยวทุกจุด                  หะแรกที่เห็นนักท่องเที่ยวที่เคปทาวน์ ก็ต้องบอกว่าเป็นเมืองทั้งฮอตและฮิตจริงๆ เดิมทีเคปทาวน์ก็ร้อนแรงอยู่แล้ว ยิ่งพอ ภูเขาโต๊ะ ติดอันดับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เพิ่งโหวตกันเมื่อวันที่ 11 เดือน 11 ปี 2011 ที่ผ่านมา เลยทำให้เคปทาวน์ยิ่งเนื้อหอมหนักขึ้นกว่าเดิมอีก                  นี่คือเมืองอากาศดี วิวห้าดาวที่ทอดตัวอยู่ปลายสุดของทวีปแอฟริกาใต้ มุมที่มหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแอตแลนติก นัดพบกันโดยมีเทือกเขาสูงใหญ่ที่ชื่อภูเขาโต๊ะ เป็นสักขีพยาน ยิ่งถ้าใครเป็นคอไวน์แล้วล่ะก็ เคปทาวน์ยิ่งเป็นเมืองที่ควรบรรจุให้อยู่ในลิสต์ของเมืองที่จำเป็นต้องไป เพราะไวน์ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอยู่ที่เมือง 2 มหาสมุทรแห่งนี้                 มุมแรกที่เหมาะจะทำความรู้จักกับเคปทาวน์ คือ วิคตอเรีย&อัลเฟรด วอเทอร์ฟรอนท์ (Victoria & Alfred Waterfront) แค่มุมนี้มุมเดียวก็ทำให้ฉันยิ้มให้กับภูเขาโต๊ะได้เป็นวักเป็นเวร ในมุมโล่งแจ้งริมน้ำของเคปทาวน์มุมนี้  มีความสุนทรีย์ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ  ผู้คนถึงได้มาแออัดกันอยู่ที่นี่                  ลมจากมหาสมุทรอินเดียคงปะทะกับลมที่ปลิวจากมหาสมุทรแอตแลนติก วิคตอเรีย&อัลเฟรด วอเทอร์ฟรอนท์ถึงได้กลายเป็นมุมที่ลมโกรกได้ทั้งวี่ทั้งวัน  คนมาที่นี่  โดยมากถ้าเป็นชาวเมืองก็หอบลูกจูงหลานมาเล่นเครื่องเล่น หรือไม่ก็พาครอบครัวมาดินเนอร์ แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวก็มักมาช็อปปิ้ง นั่งกินดื่ม จิบวิวทะเลและสบตากับภูเขาโต๊ะอย่างเพลินใจ  พูดถึงภูเขาโต๊ะ บางทีก็เหมือนงานศิลปะ ผลจากการขลุกอยู่กับเคปทาวน์หลายวัน ฉันลองหามุมเหมาะที่เปลี่ยนไปเรื่อย ก็พบว่า เป็นแบบนั้นจริงๆ                 บางวันมีเมฆมาคลอเคลียเป็นหย่อมๆ ลอยระเกะระกะ ดูสวยไปอีกแบบ บางวันฟ้าโปร่ง ไร้เงาสีเข้ามาคอยก่อกวน ภูเขาโต๊ะกลับดูเสน่ห์เหือดลง บางวันมีแผ่นเมฆสีขาวมาคลุมเหนือยอดเขา ก็เหมือนวันนั้นมีผ้าปูโต๊ะสีขาวมาคลุม เหมือนงานศิลปะที่เปลี่ยนไปทุกวันทุกโมงยาม แล้วแต่ธรรมชาติจะละเลง แต่บางวันดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจ ภูเขาโต๊ะก็เหมือนหายตัวไปอย่างไร้ล่องลอยจากเคปทาวน์  ไร้เงาทะมึนของภูเขาโต๊ะ วันนั้นแหละ เคปทาวน์ดูไม่เป็นเคปทาวน์                 ฉันเฝ้ามองภูเขาโต๊ะอยู่หลายวัน จากวิคตอเรีย&อัลเฟรด วอเทอร์ฟรอนท์บ้าง จากกลางเมืองบ้าง  จากดาดฟ้าเรือนพักบ้าง  แล้วก็พบว่า  ไม่เพียงเป็นที่สิงสถิตของความสูง แต่ภูเขาโต๊ะเป็นเหมือนผู้หลักผู้ใหญ่ที่เฝ้ามองทุกความเคลื่อนไหวในเคปทาวน์อย่างไม่กะพริบตา                 รอจนค่ำคืนสุดท้ายของปีเดินทางมาถึง เคปทาวน์มี 2 มุมหลักๆ ให้เฉลิมฉลองคืนปีใหม่ คือหน้าศาลาว่าการประจำเมือง และที่วิคตอเรีย&อัลเฟรด วอเทอร์ฟรอนท์ หลังจากซุ่มสังเกตการณ์ทั้ง 2 มุม ฉันพบว่า ถ้าเป็นชาวเมือง เขาจะไปปักหลักที่ศาลาว่าการประจำเมืองกันตั้งแต่บ่าย ส่วนนักท่องเที่ยวและวัยรุ่นของเคปทาวน์จะไปแฮงก์เอาท์กัน แถววิคตอเรีย&อัลเฟรด วอเทอร์ฟรอนท์                 แต่ไม่ว่าจะมุมไหนเคปทาวน์ก็ดูร่าเริงและเบิกบานในคืนข้ามปี   ............................................... (คืนข้ามปีที่'เคปทาวน์' : คอลัมน์เที่ยวนี้ขอเล่า : โดย...กาญจนา หงษ์ทอง)

ยึดอาชีพขายหนูนาย่างสร้างรายได้

ยึดอาชีพขายหนูนาย่างสร้างรายได้
                       24 ม.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากใครเดินทางมาตามถนนสายสุโขทัย-พิษณุโลก หรือถนนสิงหวัฒน์ ฝั่งขาเข้าเมือง ก่อนถึงตัวเมืองพิษณุโลก 10 กิโลเมตร ต.ไผ่ขอดอน อ.เมือง จ.พิษณุโลก คงสะดุดตาด้วยป้ายขนาดใหญ่ เขียนว่า "หนูย่าง" ระยะทางยาว 500 เมตร ก่อนเจอร่มและผ้าสีแดงสะดุดตา จุดขายหนูยาง เมื่อสอบถามพบว่า เจ้าของแผงขายหนูย่างดังกล่าวชื่อ นางสมบุญ อยู่เย็น อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 222 หมู่ 6 ถนนธรรมมูล อ.เมือง จ.ชัยนาท                        นางสมบุญ เล่าว่า ได้ยึดอาชีพย่างหนูนาขาย มานาน 6-7 ปีแล้ว หลังจากเดิมเป็นคนที่จับหนูนาขายให้กับแผงหนูย่างมานานหลายสิบปี และมารับจ้างขายหนูย่างได้ค่าจ้างวันละ 200 บาท ที่ จ.ชัยนาท ช่วงนั้นเจ้าของแผงรับซื้อหนูนายเพียง กิโลกรัมละ 30 บาท จากนั้นค่อยๆ ขยับคนเป็นราคากิโลกรัมละ 80-100 บาท แต่เมื่อนำมาย่าง กลับขายดีทั้งที่ราคาแพงกิโลกรัมละราคา 150 บาท ในช่วงนั้น 6 ปีก่อน จึงปรึกษากับนายสมศักดิ์ ติวงษ์ แฟนหนุ่ม ว่าจะช่วยกันจับหนูแล้วนำมาย่างขาย จึงเริ่มต้นการทำอาชีพ “หนูย่าง” ด้วยการขายในราคากิโลกรัมละ 150 บาท เมื่อเห็นว่าตลาดไปได้ดีมีคนบริโภคมากขึ้นเริ่มวางเครือข่ายจับหนูและรับซื้อหนูนาอย่างเป็นล่ำเป็นสันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางที่มีแปลงนาข้าว โดยกว้านซื้อหนูนาในราคาสูงตามความต้องการของคนจับ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 100 บาท แต่บางครั้งก็สูงถึงกิโลกรัมละ 150 บาท                        นางสมบุญ บอกว่า ปัจจุบันหนูย่างกลายเป็นอาหารที่ประชาชนนิยมซื้อบริโภคมากขึ้น ตนจึงตะเวนขายไปทั่วหลายจังหวัดพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง อาทิ จ.ชัยนาท พิจิตร และพิษณุโลก โดยหมุนเวียนไปตามแหล่งหนูนาและกำลังซื้อ และมาปักหลักขายที่พิษณุโลกได้ 5 เดือนแล้ว มาเช่าบ้านอยู่และยึดทำเลถนนฝั่งขาเข้าเมืองพิษณุโลก โดยจะเขียนป้ายเชิญชวนบอกก่อนถึงจุดขาย ทำให้ผู้ที่ขับรถผ่านไปมาแวะซื้อ สำหรับราคาขายปัจจุบันอยู่ที่หนูขนาดเล็ก กิโลกรัมละ 200 บาท                        สำหรับหนูขนาดกลาง กิโลกรัมละ 220 บาท และหนูย่างขนาดตัวใหญ่ กิโลกรัมละ 250 บาท ส่วนหนูนาสดชำแหละแช่เย็นแล้วขายกิโลกรัมละ 180 บาท แม้ว่าราคาแพงแต่ผู้ที่นิยมบริโภคมองว่าราคาไม่แพง แถมลูกค้าบางคนยังซื้อไปครั้งละ 3-5 กิโลกรัม เพื่อนำไปแช่ตู้เย็นเก็บไว้บริโภค บางคนก็ซื้อไปฝากญาติและเพื่อนก็มี ส่วนเมนูที่นิยมทำส่วนใหญ่จะเป็นหนูนาคั่ว แกงเผ็ดหนูนา และหนูนาทอดกะเทียมกรอบ เมนูก็จะปรับเปลี่ยนไปตามความชื่นชอบของแต่ละบุคคล                        "หนูนาย่าง กลายเป็นอาชีพที่ดิฉันภาคภูมิใจ เป็นอาชีพสุจริต อาจเรียกได้ว่าสามารถทำเงินล้านให้ได้ในแต่ละปี เพราะแต่ละวันสามารถทำเงินจากการขายได้ เฉลี่ยอยู่ที่วันละไม่ต่ำกว่า 2,000-3,000 บาท แต่ในช่วงเทศกาลสามารถทำเงินได้มากกว่าวันละกว่า 10,000 บาท ทำให้ทุกวันนี้ สามารถตั้งตัวซื้อรถกระบะ ออกตระเวนไปรับซื้อหนูได้หลายแห่ง และอาชีพนี้ยังสามารถสร้างบ้านพักอาศัยให้กับตัวเองได้อีก 1 หลัง เพียงไม่กี่ปีมานี้" นางบุญสม กล่าว        

Friday, January 25, 2013

เซเลบคับคั่ง! ชิม เบอร์เกอร์ คิง เฟรนช์ ชิคเก้น เมนูใหม่ไฮโซสไตล์ฝรั่งเศส!

เซเลบคับคั่ง! ชิม เบอร์เกอร์ คิง เฟรนช์ ชิคเก้น เมนูใหม่ไฮโซสไตล์ฝรั่งเศส!
เบอร์เกอร์ คิง จัดงานเปิดตัว “เบอร์เกอร์ คิง เฟรนช์ ชิคเก้น” แนะนำสุดยอดเมนูใหม่ระดับพรีเมียมสไตล์ฝรั่งเศส !!!“เบอร์เกอร์ คิง” (Burger King) ขอประเดิมศักราชใหม่กับเมนูสุดฮอต ที่ล่าสุด ประพัฒน์ เสียงจันทร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ คิง (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดงานเปิดตัว “เบอร์เกอร์ คิง เฟรนช์ ชิคเก้น” (Burger King French Chicken) เพื่อแนะนำสุดยอดเมนูระดับพรีเมียมที่ทำจากเนื้อไก่อย่างดี หอม กรอบนอกนุ่มใน ด้วยวิธีการทอดตามสูตรเฉพาะของเบอร์เกอร์ คิง เสิร์ฟพร้อมแฮมสไลด์รมควันแบบพรีเมียมสไตล์แซนด์วิชฝรั่งเศสและสวิสชีสเบอร์เกอร์คิงเฟรนช์ชิคเก้นนอกจากนั้นภายในงานยังได้ 2 เซเลบสาวอย่าง เบลล์-รินทร์รตา อินทามระ และแองจี้-อัญชลี เฮสติ้งส์ มาร่วมแชร์ความสุขเมื่อได้สัมผัสความอร่อยของสุดยอดเมนูนี้ รวมถึงยังได้มีการเปิดตัว Viral Clip ตัวล่าสุดของเบอร์เกอร์ คิง ความยาว 30 วินาที ที่นำแสดงโดย อรรถวดี จิรมณีกุล ผู้จัดการกลุ่มประชาสัมพันธ์ บริษัท เดอะไมเนอร์ ฟู๊ด กรุ๊ป จำกัด ที่มาพูดถึงเบอร์เกอร์ คิง เฟรนช์ ชิคเก้น ตัวล่าสุดในภาษาฝรั่งเศสอีกด้วย ทั้งนี้มีเหล่าคนดังร่วมงานจำนวนมาก อาทิ ม.ร.ว.แม้นนฤมาส ยุคล, เพ็ญสุภา คชเสนี, อุณาวรรณ ตั้งคารวคุณ, สินีนารถ เองตระกูล, กรกรก ยงสกุล, ภัคศรณ์  ลีนุตพงษ์, ณัฐชยา ไกรฤกษ์, จินดาภา บุณยากร, กรุณา วัจนะพุกกะ, นาขวัญ รายนานนท์, ปณิธี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, กัญญารัตน์ พลาดิศัย, สุทัศนีย์ ซอโสตถิกุล, นุชนาถ ระวีแสงสูรย์ และโสรัจ อมาตยกุล เป็นต้น ณ ร้านเบอร์เกอร์ คิง ชั้น 6 โซน Beacon ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวิลด์ประพัฒน์ เสียงจันทร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า”ความอร่อยของเนื้อไก่นั้น ใครที่ได้ลิ้มลองจะต้องติดใจ เพราะมีคุณภาพในระดับพรีเมียม ด้วยวิธีการปรุงและทอดตามสูตรเฉพาะของเบอร์เกอร์ คิง จึงทำให้เนื้อไก่มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูสุดยอดของเบอร์เกอร์ คิง ที่ไม่อยากให้แฟนๆ พลาด” สนใจเชิญสัมผัสความอร่อยแบบไม่ซ้ำใคร กับ “เบอร์เกอร์ คิง เฟรนช์ ชิคเก้น” เมนูใหม่ล่าสุดจากเบอร์เกอร์ คิงได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ – 28 ก.พ.ศกนี้ ที่ร้านเบอร์เกอร์ คิง ทุกสาขา แล้วจะรู้ว่าการทานไก่มีประโยชน์มากจริงๆ!!บรรยากาศของงานเปิดตัว เบอร์เกอร์คิง เฟรนช์ชิคเก้น (BurgerKing FrenchChicken)เซเลบสาวร่วมพูดคุยเบลล์ รินทร์รตา อินทามระแอนจี้ อัญชลี เฮสติ้งส์ประพัฒน์ เสียงจันทร์,อรรถวดี จิรมณีกุล,ทวีเกียรติ ปรุงพัฒนสกุลกัญญารัตน์ พลาดิศัย,ปณิธี สนิทวงศ์ ณ อยุธยาสินีนารถ เองตระกูล,ประพัฒน์ เสียงจันทร์นุชนาถ ระวีแสงสูรย์,อรรถวดี จิรมณีกุลด.ญ.ทีน่า เศรษฐบุตร,คริสติน่า เศรษฐบุตรภัคศรณ์ ลีนุตพงษ์,นาขวัญ รายนานนท์อุ๋ย นที เอกวิจิตร์มนุญญา ทองทาบวงศ์,เบลล์ รินทร์รตา อินทามระเหล่าเจ้าหน้าที่เบอร์เกอร์คิงพร้อมบริการ 

กระเป๋า 4 มิติ โดราเอมอน ทูตการ์ตูนแมวแห่งตำนาน

กระเป๋า 4 มิติ โดราเอมอน ทูตการ์ตูนแมวแห่งตำนาน
หากเอ่ยถึงการ์ตูนอมตะยอดนิยมตลอดกาล ขวัญใจเด็กๆ ทั่วโลก ต้องมีชื่อ ‘โดราเอมอน’ รวมอยู่ด้วยเป็นลำดับต้นๆ หลายคนคงลืมไปแล้วว่าจุดกำเนิดของโดราเอมอน เกิดจากการที่ เซวาชิ ผู้เป็นเหลนของโนบิตะส่งโดราเอมอน เจ้าหุ่นยนต์แมวสีฟ้า ตัวอ้วนกลม จากโลกอนาคตแห่งศตวรรษที่ 22 กลับมาช่วยเหลือ
โนบิตะในศตวรรษที่ 20 ด้วยความน่ารัก ใจดี และมิตรภาพที่มีให้เพื่อนรักอยู่เสมอถูกถ่ายทอดผ่านกระเป๋าสี่มิติ ซึ่งบรรจุของวิเศษแบบไม่จำกัด ทำให้โดราเอมอนยังคงอยู่ในใจของทุกคน ความนิยมอย่างล้นหลามและความสำเร็จของการ์ตูนโดราเอมอน ที่แฝงไปด้วยคติสอนใจในแง่มุมต่างๆ ทำให้โดราเอมอนที่เป็นตัวแทนจินตนาการของเด็กๆ ได้รับเลือกจาก วีรบุรุษ (หน้านี้ไม่มี) วีรบุรุษของทวีปเอเชีย และยังเคยได้รับการแต่งตั้งเป็น ทูตสันถวไมตรี (หน้านี้ไม่มี) ทูตสันถวไมตรี” จากกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น เพื่อช่วยในการประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมของประเทศ และเรียกได้ว่าเป็น ทูตแอนิเมชั่น ตัวแรกของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วยเปิดกระเป๋าสี่มิติค้นหาความทรงจำหากเปิดกระเป๋าสี่มิติที่หน้าท้องของโดราเอมอนดู จะพบว่าในบรรดาของวิเศษที่มีอยู่อย่างมากมาย และพร้อมจะถูกนำมาหยิบยื่นให้เมื่อเพื่อนรักอย่างโนบิตะร้องขอ ของวิเศษที่แฟนคลับจำได้ไม่รู้ลืมต้องมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในลิสต์แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคอปเตอร์ไม้ไผ่ ประตูไปที่ไหนก็ได้ อุโมงค์กัลลิเวอร์ ไฟฉายย่อส่วน ขนมปังช่วยจำ แคปซูลกาลเวลา ล่าสุดในงานโดราเอมอน อัศจรรย์กระเป๋าสี่มิติ ที่เพิ่งจัดขึ้นเพื่อให้สาวก
โดราเอมอนได้หวนรำลึกความหลัง ก็ได้นำเอาสารพันของวิเศษจากกระเป๋าสี่มิติของโดราเอมอนที่เมื่อเห็นแล้วต้องร้องอ๋อ ทั้งไม้ใจเย็น ที่เพียงนำไปแตะปากคนที่กำลังโมโห แล้วพูดว่าใจเย็นๆ คนนั้นจะกลับมาอารมณ์ดีทันที โทรทัศน์กาลเวลา สามารถเห็นภาพในอดีตและอนาคตได้ ดินสอคอมพิวเตอร์ ดินสอสุดแสนฉลาด ช่วยทำการบ้านหรือข้อสอบยากๆ ให้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ตู้โทรศัพท์สมมติ ถ้าเราสมมติอะไรไปในตู้โทรศัพท์นี้ คำสมมติของเราก็จะกลายเป็นจริง นอกจากนี้ในงานยังมีฉากจำลองแห่งความทรงจำอันน่าประทับใจ อาทิ ฉากบ้านโนบิตะ ฉากไจแอนท์ร้องเพลง ฉากสวนสาธารณะ นอกจากของวิเศษที่เราเคยเห็นกันจากในการ์ตูนโดราเอมอนแล้ว ในงานนี้ยังเป็นครั้งแรกในการเปิดตัวบัตรเดบิตกสิกรไทย
โดราเอมอน ที่มาพร้อมกับสิทธิพิเศษ โดยธนาคารกสิกรไทย ได้นำคาแรกเตอร์ลายการ์ตูนโดราเอมอนและผองเพื่อนอย่างโนบิตะ ชิซุกะ ซึเนะโอะ และไจแอนท์ มาไว้ในบัตรเดบิต ในคอนเซปต์ ‘ยูนิเวอร์แซล เดบิต การ์ด’ ให้แฟนคลับโดราเอมอนและผองเพื่อนได้ทั้งสะสม และใช้บัตรเพียงบัตรเดียวได้ในทุกที่และทุกเรื่อง ทั้งทำธุรกรรมการเงิน ช็อปปิ้งในร้านค้าและออนไลน์ เดินทาง ท่องเที่ยว ซื้อตั๋วเครื่องบิน ดูภาพยนตร์ราคาประหยัด และสะสมพอยต์รับเงินคืนกว่า 100 ปีที่ผ่านมา ความรัก ความผูกพัน และไมตรีจิตระหว่างเพื่อนยังตรึงอยู่ในใจแฟนๆ ทั่วโลก ความนิยมของการ์ตูนโดราเอมอนยังเป็นมนต์ขลังจากรุ่นสู่รุ่นไม่สิ้นสุด เรียกได้ว่านอกจากสาระและความบันเทิงที่ถ่ายทอดผ่านเนื้อหาและตัวละครจากจินตนาการของ อ.ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ ของวิเศษจากกระเป๋าสี่มิติของโดราเอมอน ยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นบนโลกจวบจนกระทั่งปัจจุบัน 

3 สุดยอดนวัตกรรม ลดหุ่น สลายไขมันแห่งปี

3 สุดยอดนวัตกรรม ลดหุ่น สลายไขมันแห่งปี
การพัฒนาด้านนวัตกรรมการแพทย์อย่างไม่หยุดยั้งในปีที่ผ่านมา สร้างสรรค์ให้เกิดนวัตกรรม และเครื่องมือทางการแพทย์ใหม่ๆ หลายชนิด ในการลดสัดส่วน กระชับผิว สลายไขมัน ตั้งแต่วิธีเบาๆ ไม่เจ็บ (Non Invasive) จนไปถึงแบบครั้งเดียวเห็นผล (Minimal Invasive) เรามาดูกันว่า ในปี 2555 มีนวัตกรรมใหม่ๆ อะไรบ้าง ในการลดหุ่นสลายไขมันCoolScuping – สลายไขมันด้วยความเย็นเยือกแข็ง จากการค้นพบโดย Harvard Medical School ของนายแพทย์ Rox Anderson แพทย์ผิวหนังผู้มีชื่อเสียงระดับโลกว่า การใช้ความเย็นที่ติดลบในระดับหนึ่งจะสามารถสั่งเซลล์ไขมันให้โปรแกรมทำลายตัวเองได้ นำมาซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถส่งพลังงานคลื่นความเย็นเข้าสู่ชั้นไขมันโดยไม่ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ โดยการส่งคลื่นความเย็นในระดับติดลบ 5 องศาเซลเซียส ในลักษณะที่เป็นคลื่นเฉพาะเจาะจงที่ส่งผลต่อเซลล์ไขมันเท่านั้น เมื่อเซลล์ไขมันเข้าสู่จุดเยือกแข็งจะสั่งการให้ทำลายตัวเอง (Apoptosis) โดยเซลล์ไขมันที่ถูกทำลาย จะถูกกำจัดออกจากร่างกายตามกระบวนการทางธรรมชาติ การสลายไขมันรูปแบบนี้ไม่เจ็บตัว ไม่มีแผลเปิด ไม่ต้องพักฟื้น ผู้ที่ได้รับการรักษาจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ โดยชั้นไขมันจะหดเล็กลงเรื่อยๆ และเห็นผลอย่างชัดเจนหลังการรักษา 2-3 เดือนVelaShape2– ผสาน 4 นวัตกรรมเพื่อการลดสัดส่วน และสลายเซลล์ลูไลท์การทำงานร่วมกัน 4 เทคโนโลยี พลังงานความร้อนจากแสง Infrared (IR) และคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radio frequency - RF) ร่วมกับลูกกลิ้ง (Roller) และระบบสูญญากาศ (Vacuum) โดยความร้อนจากแสง IR และ RF จะเพิ่มการเผาผลาญไขมันใต้ผิว ทำให้เซลล์ไขมันลดขนาดลง พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินในชั้นผิวช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับขึ้น ส่วนการทำงานของ Vacuum และ Roller (ลูกกลิ้ง) จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองใต้ผิวหนัง ช่วยคลายการยึดเกาะตัว และลดการสะสมของเซลล์ไขมันตัวการที่ทำให้เกิดผิวเปลือกส้ม หรือ Celluliteหลังการรักษาครั้งแรก จากรายงานพบว่าสามารถกระชับผิวให้เรียบตึง พร้อมลดเส้นรอบวงบริเวณที่ทำการรักษาได้โดยเฉลี่ย 1-2 นิ้ว หลังการรักษาในครั้งแรกBodyTite (RFAL) – ดูดไขมันพร้อมกระชับผิวพูดถึงการดูดไขมัน หลายคนอาจคิดไปถึงการผ่าตัดใหญ่ที่มีเลือดออก แต่การพัฒนาของเทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยให้การดูดไขมันเป็นไปได้ง่ายขึ้น แผลเล็กกว่าปลายปากกา และมีตัวช่วยกระชับผิวร่วมด้วยทำให้หลังทำไม่เกิดการหย่อนคล้อยของผิวหนังบริเวณที่ดูดไขมัน เหมือนการดูดไขมันแบบที่ผ่านมาการดูดไขมัน ด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้ สามารถทำได้รวดเร็ว ไขมันที่ดูดออกมามีเลือดปนน้อยมาก เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่นๆ เพราะการปล่อยพลังงานคลื่นความถี่วิทยา (Radio Frequency- RF) ขณะทำช่วยห้ามเลือด (Coagulation) ไปด้วย พร้อมกันนี้ยังช่วยกระตุ้น Collagen ในชั้นใต้ผิวทำให้ผิวบริเวณที่ทำการรักษายกกระชับ เรียบตึง ไม่เกิดการหย่อนคล้อย ในการทำสามารถปรับระดับความลึก เพื่อเข้าไปทำลายเฉพาะเซลล์ไขมันบริเวณที่ต้องการโดยตรง โดยไม่ทำลายเส้นประสาทหรือเนื้อเยื่อรอบๆ แผลที่เกิดมีขนาดเล็กประมาณปลายปากกา สามารถทำได้ทุกบริเวณ โดยเฉพาะบริเวณที่มีไขมันและความหย่อนคล้อยของผิวหนัง รวมทั้งบริเวณเหนียงที่คอ ใต้คาง และกระชับกรอบหน้าในรายที่มีคาง 2 ชั้นจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การรักษาง่ายขึ้น ผลลัพธ์ชัดเจน ใช้เวลาน้อยลง และปลอดภัยขึ้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงเทคโนโลยีทางการแพทย์ การจะใช้งานสิ่งเหล่านี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องทำภายใต้การควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ และแพทย์ที่มีประสบการณ์จะวิเคราะห์ถึงผลดีผลเสีย และเลือกสรรเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพข้อมูล / ภาพ Apexprofoundbeauty.com 

Wednesday, January 23, 2013

Dining Twists @ Another Hound Café

Dining Twists @ Another Hound Café
เชื่อว่าแฟนตัวจริงของร้าน Greyhound Café คงต้องชะงักเล็กน้อยกับหน้าตาที่คล้ายกันเหมือนแฝดคนละฝาของ “Another Hound Café” และคงต้องบอกว่าคุณเป็นคนที่ตาแหลมมาก เพราะความดิบ เท่ และกราฟิกเก๋ๆ ของที่นี่เหมือนใครเสียที่ไหนแม้ Another Hound มีความคล้ายคลึงกับแฝดพี่อยู่มาก แต่เราคงต้องบอกว่าแฝดน้องคนนี้ได้แตกโจทย์ออกมาสร้างความอร่อยด้วยคอนเซปต์ Chic & Glam Asian-Italian Dining Twists โดยผสมผสานวัตถุดิบไทยและอิตาเลียนให้มีความลงตัวกลมกลืน อาหารของที่นี่จึงคงเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งการันตีความอร่อยโดย “เชฟต่อสิทธิ์” เจ้าเก่าและ “เชฟเพลง” เชฟสาวคนสวยที่ร่วมประจำการสร้างสรรค์เมนูสุดพิเศษในทุกๆ เดือน โดยเฉพาะโอกาสพิเศษในเดือนธันวาคมนี้ไม่ควรพลาดเด็ดขาดเริ่มด้วย Foie Gras and Pomelo Salad ที่นึกสนุกนำตับห่านมาเข้าคู่กับยำส้มโอ เสิร์ฟพร้อมแผ่นแป้งตอร์ติญา จานนี้เรียกว่าได้ใจกันไปเลยทีเดียว เพราะความครีมมี่ของตับห่านเมื่อถูกตัดรสชาติด้วยน้ำยำก็ลงตัวสุดๆ ตามด้วย Spaghetti Beef Cheek สปาเกตตีแก้มวัวในซอสไวน์แดงที่ได้ความนุ่มหอมของเนื้อแก้มวัวซึ่งผ่านการตุ๋นอย่างช้าๆ และความฉ่ำของมะเขือเทศมาเรียกคะแนน ก่อนมาต่อด้วยเมนูประจำเทศกาล Midnight Turkey ในขนาดกะทัดรัดด้วยการนำขาไก่งวงที่ผ่านการหมักในน้ำมันมะกอก 1 คืนมาทอดจนเหลือง เนื้อนอกกรอบ นุ่มเนื้อใน เสิร์ฟพร้อมผักย่างและซอสที่ให้เลือกจิ้มกันถึง 2 แบบ 2 สไตล์ นั่นคือซอสไวน์แดงที่ให้ความหอมหวานในลำคอและซอสมะขามรสเปรี้ยวหวานชื่นใจก่อนจะปิดท้ายด้วยค็อกเทลสีชมพูหวานพาสเทล “Pastello” ที่นำความหอมหวานของลิ้นจี่ผสมกับน้ำเชื่อมตะไคร้ วอดก้า และสปาร์กกลิงไวน์... ซาบซ่ารับปีใหม่กันเลยทีเดียว ร้านอาหาร Another Hound Cafeชั้น 1 สยามพารากอน ถนนพระราม 1 ปทุมวัน กรุงเทพฯ โทรศัพท์    0-2129-4409 เวลาบริการ   10.00-22.00 น.ข้อมูล/ภาพ : Gourmet&Cuisine

ประมวลอลังการงานหมั้นไฮโซ ‘พัชรี-โสฬส’

ประมวลอลังการงานหมั้นไฮโซ ‘พัชรี-โสฬส’
ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สายที่จะแสดงความยินดี...!สำหรับงานหมั้นอลังการของ นางสาวพัชรี เตชะสัตยา บุตรี นายวีระชัย เตชะสัตยา ประธานกรรมการ บริษัท วี. ซี. เอฟ. กรุ๊ป จำกัด และนางทุเรียน เตชะสัตยา กับ นายโสฬส นันทวัฒน์ศิริ บุตร นายขรรค์ชัย-นางวรรณวิมล นันทวัฒน์ศิริ ที่งานนี้ได้รับเกียรติจาก นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีหมั้น ณ บ้านเตชะสัตยา จ.ราชบุรีโดยงานหมั้นอันสุดแสนอลังการในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากเหล่าคนดังระดับประเทศและระดับจังหวัด ให้เกียรติเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ ส.ส.บุญยิ่ง นิติกาญจนา, คุณสมชาย นิติกาญจนา เจ้าของบริษัท เอสพีเอ็ม บริษัทอาหารสัตว์ยักษ์ใหญ่ ใน จ.ราชบุรี รวมถึง นส.พ.ชัย วัชรงค์ สัตวแพทยศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ดำเนินรายการ คุยจริงใจสไตล์หมอชัย ช่องทีเอ็นเอ็น ฯลฯนอกจากนี้ ยังมีเหล่าศิลปินคนดัง อาทิ ไอซ์-ศรัณยู วินัยพานิช, พลพล พลกองเสน, อ๊อฟ-ศุภณัฐ เฉลิมชัยเจริญกิจ, บิว-กัลยาณี อาร์สยาม, เพียวเพียว อาร์สยาม, อิ๋ว-เพ็ญโพยม, สาวมาด เมกกาแดนซ์ ฯลฯ ร่วมแสดงความยินดี รวมทั้งยังร่วมทำการแสดง เพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานด้วย ในส่วนของสินสอดทองหมั้นที่ได้รับการเปิดเผยนั้น ประกอบไปด้วย แหวนหมั้น ขนาด 4.4 กะรัต 1 พาน มูลค่า 4.4 ล้านบาท, ชุดเครื่องเพชร 1 พาน มูลค่า 2.8 ล้านบาท, เงินสินสอด พานละ 1.2 ล้านบาท 4 พาน มูลค่า 4.8 ล้านบาท, ทองคำ 124 บาท 2 พาน มูลค่า 3.4 ล้านบาท, รถเบนซ์ตู้ 1 คัน มูลค่า 3.8 ล้านบาท, สลากออมสิน 1 พาน มูลค่า 4 ล้านบาท, เบ็ดเตล็ดในขบวนขันหมาก 76 พาน มูลค่า 8 แสนบาท รวมเป็นเงินสินสอดทั้งสิ้น 86 พาน มูลค่ารวมทั้งสิ้น 24 ล้านบาทสำหรับประวัติของคู่บ่าวสาวนั้น นายโสฬส นันทวัฒน์ศิริ เป็นนักธุรกิจหนุ่ม วัย 29 ปี ดีกรีนักเรียนนอก จบการศึกษาปริญญาโท เอ็มบีเอ จากประเทศอังกฤษ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองประธานกรรมการของบริษัทในเครือ วิศรากรุ๊ป จำกัด ที่มีบริษัทในเครือกว่า 10 บริษัท อีกทั้งยังเป็นเจ้าของคลินิิกดูเเลด้านความสวยความงามอีกด้วย ขณะที่ นางสาวพัชรี เตชะสัตยา ผู้บริหารสาวสวยไฟเเรงดีกรีนักเรียนนอก จบการศึกษาชั้นปริญญาโท จากประเทศอังกฤษ ทายาทเจ้าของโรงงานอาหารสัตว์เเละฟาร์มสุกรที่ใหญ่ที่สุดใน จ.ราชบุรี ภายใต้ชื่อบริษัท วี. ซี. เอฟ. กรุ๊ป อีกทั้งยังควบตำเเหน่งผู้จัดการฝ่ายการเงินของบริษัท ดูเเลบริหารงานธุรกิจนับพันล้าน ด้วยอายุเพียง 29 ปีเท่านั้นสำหรับงานแต่งงานของคู่บ่าว-สาวคนดัง นางสาวพัชรี เเละนายโสฬส จะมีขึ้นในวันที่ 31 ม.ค. 56 ในเวลา 17.00 น. ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงเเรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพ โดยได้รับเกียรติจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานฝ่ายเจ้าสาว และนายวัชรกิติ วัชโรทัย กรมวังผู้ใหญ่ สำนักพระราชวัง เป็นประธานฝ่ายเจ้าบ่าว ส่วนในภาคการแสดง ประกอบไปด้วย เหล่าศิลปิน-ดาราคนดัง มาร่วมแสดงความยินดี และร่วมทำการแสดงในครั้งนี้ อาทิ เบน ชลาทิศ, สเตฟาน-ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์, เต้-วิทย์สรัช, บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์, แหวน-ธิติมา สุตสุนทร, บอย ตรัย ฯลฯยังไงก็ขอให้รักยั่งยืน 

สุดยอด! โลโม่ The Lomography Smartphone Film Scanner 



สุดยอด! โลโม่ The Lomography Smartphone Film Scanner 


ใครที่เป็นสาวกกล้องโลโม่ฟังทางนี้ เราขอแนะนำเสนอสิ่งประดิษฐ์ล่าสุดจาก Lomography ซึ่งได้แก่ Lomography Smartphone Film Scanner อุปกรณ์ที่จะช่วยให้คุณสแกน, แก้ไข และแชร์ภาพถ่ายจากฟิล์ม 35 มม. โดยตรงผ่านทางมือถือ Smartphone ของคุณอย่างง่ายดายสแกนและแชร์ภาพได้ทันที โดยสแกนเนอร์ออกแบบมาให้มีแผงไฟเพื่อส่องฟิล์มในตัว ซึ่งจะทำให้การสแกนฟิล์มเป็นไปอย่างง่ายดาย ด้วยการใช้มือถือของคุณถ่ายรูปโดยตรง และคุณภาพที่ได้ก็เพียงพอสำหรับใช้ส่วนตัว, แชร์ให้เพื่อนๆ ดู หรือพิมพ์ออกมาก็ยังได้  ใช้ได้กับทั้ง iPhone และ Android - Smartphone Film Scanner สามารถใช้ร่วมกับ iPhone ได้ทุกรุ่น และโทรศัพท์ Android ส่วนใหญ่ โดยจะต้องใช้ควบคู่กับ Lomoscanner App (โหลดฟรี) ซึ่ง Lomoscanner App นี้จะช่วยคุณแปลงสีฟิล์มเนกาทีฟให้กลายเป็นโพสิทีฟได้ทันที รวมทั้งยังสามารถสแกนและต่อภาพที่ถ่ายมาจากกล้องพาโนรามาเข้าด้วยกันได้ (อย่างเช่นภาพที่ถ่ายมาจากกล้อง Horizon และ Spinner 360°) และสามารถตัดต่อฟิล์ม 35 มม. ที่ถ่ายด้วยกล้อง LomoKino ให้ออกมาเป็นคลิปวิดีโอได้อีกด้วยพกพาสะดวก - ด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัด จะทำให้ Smartphone Film Scanner ไม่เป็นภาระสำหรับคุณในการใช้งานเลย ไม่เหมือนกับเครื่องสแกนเนอร์แบบตั้งโต๊ะที่ใหญ่เทอะทะและใช้เวลาในการสแกนนาน คุณจะสามารถพกมันติดตัวไปได้ทุกที่ที่คุณต้องการ ใช้ได้กับฟิล์ม 35 มม.ทุกประเภท - Smartphone Film Scanner สามารถสแกนฟิล์มขนาด 35 มม. ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มสีเนกาทีฟ, ฟิล์มสไลด์ หรือฟิล์มขาวดำก็ตามมายั่วน้ำลายกันแล้วไม่บอกที่ซื้อก็คงใช่ที่ Smartphone Film Scanner เปิดให้จองผ่านทาง Kickstarter แล้ว โดยการช่วยกันลงทุนในโปรเจกต์นี้ และแชร์ข่าวสารต่อไปให้เพื่อนๆ ของคุณ เพื่อทำให้เป้าหมายของพวกเราเป็นจริง โดยเราจะมีของตอบแทนพิเศษให้สำหรับผู้ที่ร่วมลงทุนเมื่อโปรเจกต์นี้สำเร็จด้วย ซึ่งเราประมาณเอาไว้ว่าจะสามารถเริ่มผลิต และจัดส่งสินค้าได้ในเดือนมีนาคม 2556 เป็นต้นไป ข้อมูลเฉพาะ:
Smartphone Film Scanner •    ใช้ถ่าน AA 2 ก้อน •    ขนาด: 14cm x 7cm x 13cm •    น้ำหนัก: 244 กรัมSmartphone Film Scanner App: •    รองรับทั้ง Android และ iPhone •    แปลงฟิล์มขนาด 35 mm ได้ทุกชนิด : color negative, B&W negative, slide, etc. •    สแกนภาพพาโนรามาได้ •    สแกนและแปลงฟิล์ม LomoKino เป็นวิดีโอได้เลยดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/XxWpGZ ร่วมสนับสนุนโปรเจกต์นี้ได้ที่ http://kck.st/XxUORsLomography ThailandTel. 02-662-6829http://www.lomography.co.th/ 

Tuesday, January 22, 2013

ดอยสุเทพ : พระธาตุสุกสกาว

ดอยสุเทพ : พระธาตุสุกสกาว
               "แวะหน่อยมั้ย ไหนๆ ก็มาทางนี้" คุยกับเพื่อนร่วมทางระหว่างที่ผ่านลานจอดรถ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เพื่อมุ่งสู่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยน                 "ก็ได้นะ ไม่ได้ขึ้นไปไหว้พระที่นี่นานมาก" คุณเพื่อนขานรับทันที                 ขากลับออกมา เลยพระตำหนักภูพิงคฯ ที่อุดมไปด้วยดอกไม้งาม ได้ไม่ไกลนัก ก็เริ่มเห็นรถจอดริมถนน ฉันเลยบอกให้เพื่อนจอดเลย เพราะเห็นแบบนี้ ลานจอดรถเต็มแน่ๆ ขนาดไปแทบจะกลางสัปดาห์แล้วนะเนี่ย                  หลังจากได้ที่จอดริมถนน ไม่ไกลจากทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพมากนัก ก็ต้องตะลึงตึงตึง ร้านขายของที่ระลึก ขายเสื้อผ้า ขายของกินปิ้งย่าง และอีกสารพัดเมนูที่ไม่ต้องนั่งกับร้าน ตั้งแต่ขนมครก ยันสตรอเบอร์รี่คลุกพริกเกลือ ตั้งแต่ปากทางขึ้นวัดพระธาตุทีเดียว                 สิ่งที่ยังเหมือนเดิม เคยเห็นอยู่ยังไงก็อย่างงั้น ก็คือบันไดพญานาค แต่ที่เปลี่ยนไป...วันนี้พญานาคสีสวยสดใสขึ้น พลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชนที่ขึ้นไปเที่ยว หรือกราบไหว้พระ ส่วนบันไดด้านล่างๆ ยังมีพวกขายของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ และเด็กน้อยชุดม้ง ที่แต่งตัวสวยมาให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปโดยได้ค่าจ้างนิดหน่อย ซึ่งเธอบอกว่าตามแต่จะให้ อ้อ...พูดภาษาอังกฤษกับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยนะ ไม่ธรรมดา                 ฉันเดินตามคนอื่นๆ ขึ้นไปบนวัด ระหว่างผ่านบันไดนาค ความคิดคำนึงถึงวันเก่าๆ ย้อนมา สมัยที่เคยขึ้นไปเยือนเมื่อหลายสิบปีก่อน บันไดพญานาคยิ่งเก่ากว่ามากนัก ค้นข้อมูลดูเห็นว่า สร้างเมื่อปี พ.ศ.2100 โดยพระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูน และได้พระครูบาศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา ร่วมกับชาวบ้านช่วยกันสร้างถนนขึ้นสู่วัด เพื่อให้คนขึ้นไปมนัสการพระธาตุได้สะดวกขึ้น                 ส่วนวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ...จากแผ่นจารึกด้านบนวัดพระธาตุฯ ระบุว่า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1929 ในสมัยพระเจ้ากือนา แห่งราชวงศ์เม็งราย ซึ่งได้รับถวายพระบรมสารีริกธาตุ จากพระสุมนเถระ ที่ขุดได้จากเจดีย์ร้างเมืองศรีสัชนาลัย และพระองค์ทรงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่มาบรรจุไว้ที่นี่ หลังจากทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคล                  คราวก่อนที่ฉันได้ขึ้นไปกับเพื่อน เห็นยอดเจดีย์อยู่ระหว่างการซ่อมแซม แต่วันนี้เจดีย์สุกอร่าม ผู้คนขึ้นไปเยอะกว่ามาก บ้างกราบไหว้พระรูปต่างๆ บางส่วนก็เดินเวียนเทียนรอบองค์พระเจดีย์ ขณะที่บางส่วนมาเพื่อชมความสวยงาม เพราะมักจะพูดกันว่า ถ้าไปเชียงใหม่ แล้วไม่ได้ขึ้นไปที่วัดพระธาตุจะเหมือนไปไม่ถึงเชียงใหม่ วัดนี้เลยถูกบรรจุอยู่ในแพลนท่องเที่ยวไปด้วย เลยไม่แปลกใจที่จะเห็นกรุ๊ปทัวร์มาลง รถตู้มาจอดมากมาย และก็มีอีกอาชีพหนึ่งที่ทำรายได้ถึงบริเวณองค์พระเจดีย์ คือ รับจ้างถ่ายรูป กระจายอยู่ทั้ง 4 มุมขององค์พระธาตุ                  บริเวณรอบเจดีย์ มีพระพุทธรูปปางต่างๆ ประดิษฐานอยู่ นักท่องเที่ยวต่างยืนชม กราบไหว้พระ เดินเวียนเทียน เดินถ่ายรูป ดูขวักไขว่ แต่ขณะมององค์พระเจดีย์ กลับพบความสุกสกราว สงบนิ่ง เหมือนหลุดไปอีกโลกที่แสนสงบ   ......................................... (ดอยสุเทพ : พระธาตุสุกสกาว : คอลัมน์ถิ่นไทยงาม)                   

เดินช้า...ช้า บนภูกระดึง

เดินช้า...ช้า บนภูกระดึง
               หากเอ่ยถึงแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยอยากไปสัมผัสอากาศหนาวๆ ทุ่งสนสวยๆ พระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า ในอันดับแรกๆ ต้องมี ภูกระดึง อย่างแน่นอน อะไรคือความประทับใจที่หลายๆ คนอยากไป จะไปครั้งแรกหรือหลายครั้งแล้วก็ตาม                 เราเดินทางไปขึ้นภูกระดึงครั้งนี้ ก็เป็นครั้งที่ 8 แล้ว นับจากครั้งแรกในการขึ้นภูกระดึงกับเพื่อนๆ เกือบสิบคน สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ไปสัมผัสความท้าทายในการเดินขึ้นเขาและเดินทางราบ แม้ในการไปในครั้งถัดๆ มาจนถึงครั้งล่าสุด จะเดินบนเส้นทางเดิม วิวเดิม และยังคงมีความทรงจำสวยงาม เกิดขึ้นอยู่เสมอ ครั้งนี้วางแผน นอนบนภูกระดึง สองคืน                  การเดินทาง หากไปรถประจำทางก็ลงที่ผานกเค้า แหล่งรวมพลคนที่ขึ้นภูกระดึงก็ว่าได้ แล้วต่อรถสองแถวไปอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เพื่อเตรียมตัวขึ้นภูกระดึงกัน เมื่อถึงอุทยานเสียค่าบัตรเข้าอุทยาน ถ้าเอาเต็นท์ไปกางเองก็เสียค่ากางเต็นท์นิดหน่อย แล้วก็เตรียมตัวเดินขึ้นได้ คนที่ไม่อยากแบกสัมภาระเอง สามารถติดต่อให้ลูกหาบแบกไปให้ได้ ราคาล่าสุดอยู่ที่กิโลกรัมละ 30 บาท                 การเดินขึ้นเขาแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกเป็นการเดินจากเชิงเขาไปถึงสันเขา (หลังแป) ระยะทาง 5.5 กิโลเมตร และช่วงที่สอง เดินทางราบจากหลังแปไปที่พัก ระยะทาง 3.7 กิโลเมตร การเดินทางช่วงแรก เป็นการเดินที่ท้าทายกำลังใจเป็นอย่างมาก เพราะค่อยๆ ไต่ระดับความชัน เหนื่อย เหงื่อออก หิวน้ำ กันถ้วนหน้า มีเพิงขายเครื่องดื่ม อาหาร ของที่ระลึกเป็นระยะ ราคาจะเพิ่มขึ้นตามความสูง                 เสื้อผ้าแบบสบายๆ กับรองเท้าที่กระชับ จะง่ายต่อการเดิน เดินไป พักไป คุยกันไป จะได้อรรถรสในการขึ้นภูกระดึงในวันที่ขึ้นมีนักท่องเที่ยวตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไปจนถึง 70 ปี ก็มี เป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ จะเดินขึ้นแบบได้เรื่อยๆ ใช้เวลาขึ้นเขาราว 2-3 ชั่วโมง แต่ถ้าใครไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย อาจจะใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง                 ถึงหลังแป จะพบกับป้าย “เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” หลายคนพร้อมใจกันหยุดตรงนี้ ทั้งพักเหนื่อย และ "ถ่ายรูป" ร่วมกัน ก่อนจะเดินไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (วังกวาง) อีก 3 กิโลเมตรกว่า แม้จะเป็นทางราบแต่ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง                 เมื่อถึงจุดที่พัก นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อเข้าบ้านพักสำหรับคนที่จองมาเรียบร้อยแล้ว หรือจะติดต่อขอเช่าเต็นท์จากอุทยานก็ได้ พร้อมกับเครื่องนอน ใครที่จ้างลูกหาบแบกสัมภาระ ก็ต้องรอรับสัมภาระด้วย จากนั้น แต่จริงๆ ถ้าไปถึงเร็ว ก็เข้าที่พัก พักผ่อนเอาแรงสักหน่อยก่อนยังได้ เพราะกว่าสัมภาระจะมาก็บ่ายกว่า หรือใครแรงดี ก็ออกเดินสำรวจบริเวณที่พัก เช่น ร้านอาหาร ร้านค้าชุมชน ที่นี่อาหารและเครื่องดื่มแพงกว่าปกติ เพราะต้องใช้ลูกหาบขนของขึ้นมา เช่น ข้าวราดแกง 2 อย่างประมาณ 60-70 บาท น้ำดื่มขนาด 500 มิลลิลิตร ราคาประมาณ 35 บาท                  ตอนเย็น นักท่องเที่ยวจะเดินทางชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ ผาหมากดูก ระยะทางประมาณ 2.2 กิโลเมตรจากที่พัก โดยควรจะออกจากที่พักประมาณสี่โมงครึ่ง เพื่อให้ไปทันพระอาทิตย์ตก หากไปถึงก่อนสามารถเดินชมทิวทัศน์ได้ รวมถึงเดินหามุมถ่ายรูป เช่น ยอดสนที่โน้มต่ำ กับพระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้า และควรเตรียมเสื้อแขนยาวสำหรับกันหนาว กันลม และไฟฉายด้วย เนื่องจากเวลาเดินกลับจะมืดและอากาศเย็นลง                 เช้าวันรุ่งขึ้น นักท่องเที่ยวตื่นกันแต่เช้า โดยเจ้าหน้าที่อุทยานจะประกาศให้นักท่องเที่ยวมาพร้อมกันที่ศูนย์บริการเวลา 5 นาฬิกา เพื่อนำทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ ผานกแอ่น ระยะทางประมาณ 1.6 กิโลเมตร จังหวะดีจะมีทะเลหมอกให้ได้ชม พร้อมกับพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ขึ้นมาจากสันเขา                 วันนี้ เราออกเดินสำรวจธรรมชาติกัน มีเส้นทางยอดนิยมคือ เส้นทางชมน้ำตก เริ่มจากน้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ และน้ำตกถ้ำใหญ่ ถ้าเป็นช่วงหลังฤดูฝนเข้าฤดูหนาว จะมีน้ำค่อนข้างเยอะ แต่ก็จะมีทากน้อยๆ คอยกระดึบๆ มากินเลือดเรา หรือหากมาช่วงปลายเดือนธันวาคม น้ำตกจะมีน้ำน้อย แต่จะได้เห็นใบเมเปิลเป็นสีแดงเต็มต้น หรือร่วงหล่นบนพื้นดิน ก้อนหิน ลำธาร สวยมาก ทั้งที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่ และน้ำตกถ้ำใหญ่ เส้นทางนี้อาจจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะเดินไปตามทุ่งสนเพื่อไปบรรจบที่ ผาหล่มสัก อันเป็นจุดสำคัญที่ทุกคนอยากไปสัมผัสความงดงามของชะง่อนหินที่ยื่นออกไป พร้อมกับกิ่งของต้นสนที่โน้มลงมา ให้นักท่องเที่ยวไปนั่งถ่ายรูปกัน                 สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินเส้นทางน้ำตกและไปยังผาหล่มสัก ควรเตรียมอาหารกลางวันและน้ำดื่มมาด้วย เผื่อหิวระหว่างทาง                 บริเวณผาหล่มสัก จะมีร้านอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการ เวลาเดินมาถึงผาหล่มสัก ของโปรดอย่างหนึ่งคือ ส้มตำ รสชาติจัดจ้าน กระตุ้นร่างกาย ลดความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี ร้านกาแฟแห่งแรกบนภูกระดึงก็อยู่ที่นี้ด้วย ใครซื้อกาแฟหนึ่งแก้ว จะได้โปสการ์ดงามๆ หนึ่งใบ หรือจะอุดหนุนร้านกาแฟของชาวบ้านก็ได้ บริเวณผาหล่มสัก ในวันที่มีนักท่องเที่ยวมาก อาจจะต้องเข้าแถวรอถ่ายรูปกันเลย                 จะรอชมอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก หรือเลือกมาชมที่ผาหมากดูกที่อยู่ใกล้กว่าก็ได้ โดยใช้ เส้นทางเลียบผา ซึ่งจะผ่าน ผาแดง ผาเหยียบเมฆ ผานาน้อย ผาจำศีล และผาหมากดูก เส้นทางตามผาต่างๆ จะได้พบกับดอกไม้และต้นไม้แปลกตา เช่น กระดุมเงิน ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น ชวนให้หยุดพักถ่ายรูปได้ตลอดเส้นทาง ปัจจุบันมีจักรยานให้นักท่องเที่ยวได้เช่าเพื่อขี่เที่ยวเส้นทางต่างๆ ได้ แต่เส้นทางเป็นดิน ทราย ขรุขะบ้าง                 ระยะทางโดยรวมของวันนี้ เส้นทางน้ำตกและเส้นทางหน้าผา ประมาณ 20 กิโลเมตร เหนื่อยกันขาลากเลย เส้นทางเวลากลับ จะได้ยินนักท่องเที่ยวคุยกันว่า เหนื่อย เมื่อย หมดแรง แต่น้ำเสียงมีความสุขและอยากกลับมาอีก ถึงที่พักมืดค่ำ คืนนี้บางคนอาจต้องพึ่งยาคลายกล้ามเนื้อกันเลยทีเดียว                 เช้าวันรุ่งขึ้น ถ้าไม่ไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ก็เตรียมตัวแพ็กของลงจากภูกระดึงกัน ถ้าต้องการให้ลูกหาบแบกสัมภาระให้ ก็นำสัมภาระไปศูนย์บริการ เพื่อชั่งน้ำหนักและเก็บหางบัตรไว้เวลารับกระเป๋าที่เชิงเขา แล้วก็เดินกลับเส้นทางเดิมของวันแรก สู่ด้านล่างของเชิงเขา...ถ้าใครอยากเลี่ยงคนเยอะ ก็แนะนำให้ไปวันธรรมดาที่ไม่ใช่เทศกาล                  เมื่อขึ้นถึงภูกระดึงแล้ว นักท่องเที่ยวควรช่วยกันดูแลธรรมชาติ ไม่ทิ้งก้นบุหรี่ (เพราะอาจเกิดไฟไหม้) ไม่เด็ดดอกไม้ ไม่ทิ้งขยะระหว่างทาง และเก็บขยะลงมาทิ้งข้างล่างได้จะดีที่สุด    ............................................................ การเตรียมตัว 1.ฟิตร่างกายก่อนมาภูกระดึง สำหรับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ 2.เสื้อผ้าและสัมภาระ นำมาแต่พอดี จะได้ไม่ต้องเป็นภาระ 3.ยาประจำตัว หรือยาสามัญเบื้องต้น เช่น ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาดม ยาหม่อง 4.ลูกอม ขนมขบเคี้ยว นิดหน่อย สำหรับระหว่างการเดินทาง   ............................................................. (เดินช้า...ช้า บนภูกระดึง : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง / ภาพ : adamfeelgood เดินช้าๆ ได้ใจงามๆ )    

คืนข้ามปีที่เคปทาวน์

คืนข้ามปีที่เคปทาวน์
               อาจจะไม่ได้อยู่ในลิสต์ของสุดยอดเมืองเคานท์ดาวน์ แต่ เคปทาวน์ (Cape Town) แห่งแอฟริกาใต้ ก็อยู่ในลิสต์ของเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมเสมอ ชาวบ้านอาจจะตั้งใจไปปีนภูเขาโต๊ะ (Table Mountain) แต่ฉันตั้งใจไปอยู่กับเคปทาวน์ในคืนข้ามปี ไม่ใช่อะไรหรอก ไม่อยากหนาวเหน็บในคืนข้ามปีอีกแล้ว นิวยอร์กในคืนเคานท์ดาวน์ทำให้เข็ดขยาดกับอุณหภูมิที่กรีดเฉือนเลือดเนื้อ ปีถัดมาเลยไปเคาท์ดาวน์ที่แทนซาเนีย อยู่กับสิงสาราสัตว์กลางป่าซะเลย แต่จะดีแค่ไหนล่ะ ถ้าได้ไปนับถอยหลังในเมืองที่อากาศดี วิวห้าดาว ไม่หนาว ไม่ร้อน ในเมืองสุดฮอตยอดฮิตเมืองหนึ่งของโลกอย่างเคปทาวน์                  ที่จริงเที่ยวนี้เริ่ดตั้งแต่ออกตัวแล้ว เพราะสายการบินเอมิเรตส์ (www.emirates.com) ที่พาเหาะไปหาเคปทาวน์ทุกวันเขาพาบินไปแวะดูไบก่อน ระยะบินประมาณ 6 ชั่วโมงนั้นแสนสะดวกสบาย เพราะโดยสารไปกับเที่ยวบินแอร์บัส A380 เครื่องบิน 2 ชั้นที่จุผู้โดยสารได้เกือบ 500 คน ที่นั่งกว้างขวางและบริการอันยอดเยี่ยมทำให้ช่วยคลายเหนื่อย จากนั้นบินต่อไปอีก 9 ชั่วโมงจึงถึงเคปทาวน์                 คนไทยไปเที่ยวแอฟริกาใต้ไม่ต้องทำวีซ่า แต่ที่ทำให้วิงเวียนก่อนเดินทางอยู่เป็นเดือนคงเป็นเรื่องที่พัก ความที่เป็นช่วงพีคสุดของเคปทาวน์ เพราะใครๆ ก็อยากไปเคานท์ดาวน์กันที่นี่ด้วยกันทั้งนั้น ที่พักทั่วเมืองพร้อมใจกันขยับราคา และมีตัวเลือกน้อยลงเรื่อยๆ เลยเดือดร้อนเว็บไซต์อโกดา (www.agoda.com) ให้ช่วยสแกนหาเรือนพักย่านกลางเมืองที่ราคายังพอรับไหว คลิกเข้าไปดูแอพพลิเคชั่นของอโกดาที่โหลดไว้บนสมาร์ทโฟน โฟกัสไปเจาะแถวใจกลางเมือง ย่าน City Bowl  ก็พบว่ายังพอมีที่ให้เอนหลัง ใครไปเที่ยวเคปทาวน์แนะให้พักแถวนี้ เพราะนี่เป็นมุมที่จะไปไหนมาไหนก็ค่อนข้างสะดวก ใกล้แหล่งท่องเที่ยวทุกจุด                  หะแรกที่เห็นนักท่องเที่ยวที่เคปทาวน์ ก็ต้องบอกว่าเป็นเมืองทั้งฮอตและฮิตจริงๆ เดิมทีเคปทาวน์ก็ร้อนแรงอยู่แล้ว ยิ่งพอ ภูเขาโต๊ะ ติดอันดับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เพิ่งโหวตกันเมื่อวันที่ 11 เดือน 11 ปี 2011 ที่ผ่านมา เลยทำให้เคปทาวน์ยิ่งเนื้อหอมหนักขึ้นกว่าเดิมอีก                  นี่คือเมืองอากาศดี วิวห้าดาวที่ทอดตัวอยู่ปลายสุดของทวีปแอฟริกาใต้ มุมที่มหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแอตแลนติก นัดพบกันโดยมีเทือกเขาสูงใหญ่ที่ชื่อภูเขาโต๊ะ เป็นสักขีพยาน ยิ่งถ้าใครเป็นคอไวน์แล้วล่ะก็ เคปทาวน์ยิ่งเป็นเมืองที่ควรบรรจุให้อยู่ในลิสต์ของเมืองที่จำเป็นต้องไป เพราะไวน์ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอยู่ที่เมือง 2 มหาสมุทรแห่งนี้                 มุมแรกที่เหมาะจะทำความรู้จักกับเคปทาวน์ คือ วิคตอเรีย&อัลเฟรด วอเทอร์ฟรอนท์ (Victoria & Alfred Waterfront) แค่มุมนี้มุมเดียวก็ทำให้ฉันยิ้มให้กับภูเขาโต๊ะได้เป็นวักเป็นเวร ในมุมโล่งแจ้งริมน้ำของเคปทาวน์มุมนี้  มีความสุนทรีย์ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ  ผู้คนถึงได้มาแออัดกันอยู่ที่นี่                  ลมจากมหาสมุทรอินเดียคงปะทะกับลมที่ปลิวจากมหาสมุทรแอตแลนติก วิคตอเรีย&อัลเฟรด วอเทอร์ฟรอนท์ถึงได้กลายเป็นมุมที่ลมโกรกได้ทั้งวี่ทั้งวัน  คนมาที่นี่  โดยมากถ้าเป็นชาวเมืองก็หอบลูกจูงหลานมาเล่นเครื่องเล่น หรือไม่ก็พาครอบครัวมาดินเนอร์ แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวก็มักมาช็อปปิ้ง นั่งกินดื่ม จิบวิวทะเลและสบตากับภูเขาโต๊ะอย่างเพลินใจ  พูดถึงภูเขาโต๊ะ บางทีก็เหมือนงานศิลปะ ผลจากการขลุกอยู่กับเคปทาวน์หลายวัน ฉันลองหามุมเหมาะที่เปลี่ยนไปเรื่อย ก็พบว่า เป็นแบบนั้นจริงๆ                 บางวันมีเมฆมาคลอเคลียเป็นหย่อมๆ ลอยระเกะระกะ ดูสวยไปอีกแบบ บางวันฟ้าโปร่ง ไร้เงาสีเข้ามาคอยก่อกวน ภูเขาโต๊ะกลับดูเสน่ห์เหือดลง บางวันมีแผ่นเมฆสีขาวมาคลุมเหนือยอดเขา ก็เหมือนวันนั้นมีผ้าปูโต๊ะสีขาวมาคลุม เหมือนงานศิลปะที่เปลี่ยนไปทุกวันทุกโมงยาม แล้วแต่ธรรมชาติจะละเลง แต่บางวันดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจ ภูเขาโต๊ะก็เหมือนหายตัวไปอย่างไร้ล่องลอยจากเคปทาวน์  ไร้เงาทะมึนของภูเขาโต๊ะ วันนั้นแหละ เคปทาวน์ดูไม่เป็นเคปทาวน์                 ฉันเฝ้ามองภูเขาโต๊ะอยู่หลายวัน จากวิคตอเรีย&อัลเฟรด วอเทอร์ฟรอนท์บ้าง จากกลางเมืองบ้าง  จากดาดฟ้าเรือนพักบ้าง  แล้วก็พบว่า  ไม่เพียงเป็นที่สิงสถิตของความสูง แต่ภูเขาโต๊ะเป็นเหมือนผู้หลักผู้ใหญ่ที่เฝ้ามองทุกความเคลื่อนไหวในเคปทาวน์อย่างไม่กะพริบตา                 รอจนค่ำคืนสุดท้ายของปีเดินทางมาถึง เคปทาวน์มี 2 มุมหลักๆ ให้เฉลิมฉลองคืนปีใหม่ คือหน้าศาลาว่าการประจำเมือง และที่วิคตอเรีย&อัลเฟรด วอเทอร์ฟรอนท์ หลังจากซุ่มสังเกตการณ์ทั้ง 2 มุม ฉันพบว่า ถ้าเป็นชาวเมือง เขาจะไปปักหลักที่ศาลาว่าการประจำเมืองกันตั้งแต่บ่าย ส่วนนักท่องเที่ยวและวัยรุ่นของเคปทาวน์จะไปแฮงก์เอาท์กัน แถววิคตอเรีย&อัลเฟรด วอเทอร์ฟรอนท์                 แต่ไม่ว่าจะมุมไหนเคปทาวน์ก็ดูร่าเริงและเบิกบานในคืนข้ามปี   ............................................... (คืนข้ามปีที่'เคปทาวน์' : คอลัมน์เที่ยวนี้ขอเล่า : โดย...กาญจนา หงษ์ทอง)

ศรินญา มหาดำรงค์กุล ใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่ากับโอกาสที่ได้มา

ศรินญา มหาดำรงค์กุล ใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่ากับโอกาสที่ได้มา
แม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะดูเป็นสาวหวาน น่าทะนุถนอม แต่ตัวตนที่แท้จริงของทายาทศรีทองพาณิชย์ ศรินญา มหาดำรงค์กุล กลับเป็นไฮโซติดดินที่ออกจะลุยๆเสียด้วยซ้ำไป ที่สำคัญคือเป็นคนรุ่นใหม่ที่ใฝ่เรียนรู้ พยายามหาประสบการณ์ในการทำงานด้วยตัวเอง โดยไม่หวังพึ่งบารมีจากบุพการีศรินญา มหาดำรงค์กุล หรือ “ริน” เป็น ทายาทคนโตของ “กฤษฎา–วิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล” ผู้แทนจำหน่ายนาฬิการายใหญ่ของเมืองไทย “ศรีทองพาณิชย์” ที่ได้รับการบ่มเพาะอุปนิสัยจากครอบครัว เพื่อให้เป็นคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ รู้จักอดออมพึ่งตนเอง แม้จะมีเครดิตการ์ดใช้ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย (คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์) แต่พอสลิปค่าใช้จ่ายส่งถึงมือคุณแม่ ริน กลับเอาเงินเดือนที่ได้เป็นค่าเล่าเรียน มาจ่ายคุณแม่ทุกบาททุกสตางค์ ทำให้ ริน เป็นคนที่เห็นคุณค่าของเงินมากๆ ประกอบกับมีโอกาสคลุกคลีใกล้ชิดกับคุณปู่ (ดิลก มหาดำรงค์กุล) เจ้าของตำนานศรีทองพาณิชย์ เลยยิ่งทำให้ ริน เป็นคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เพียงแต่เห็นคุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์เท่านั้น แต่ยังหล่อหลอมให้เธอเป็นคุณหนูสู้งาน พร้อมที่จะลุยหาประสบการณ์การทำงานด้วยลำแข้งของตัวเอง “คุณปู่ชอบเล่าให้ฟังว่า ท่านเริ่มจากไม่มีอะไรเลย เริ่มจากการเก็บตะปูขาย มีโต๊ะเล็กๆซ่อมนาฬิกา จึงทำให้รินรู้สึกว่าเราอยากเก่ง ไม่อยากสบาย รินเชื่อว่าคุณปู่เก่งมาได้อย่างนี้ เพราะคุณปู่หาประสบการณ์ด้วยตัวเอง พอถึงเวลาที่ต้องทำงาน รินก็อยากหาประสบการณ์ อยากเป็นคนที่ทำงานแบบรู้จริง”ด้วยเหตุนี้หลังเรียนจบเอ็มบีเอ ด้านการโรงแรมที่ Les Roches International School of Hotel Management สวิตเซอร์แลนด์ ริน จึงขอที่บ้านออกมาหางานทำด้วยตัวเอง เพราะอยากได้ประสบการณ์การทำงานแบบจริงๆ ไม่ใช่เริ่มจากการทำธุรกิจของครอบครัว “ทำงานที่บ้าน พี่ๆที่ร่วมงานอาจจะเกรงใจไม่ค่อยกล้าให้เราทำอะไร แต่ถ้าเราทำข้างนอก ผิดคือผิด โดนว่าเป็นโดนว่า ทำให้เรามีความรับผิดชอบมากกว่า” และ ริน ก็เลือกที่จะทำงานด้านการโรงแรมตามที่เรียนมา โดยเดินเข้าไปยื่นใบสมัครตามโรงแรมต่างๆ ในที่สุดก็ได้งานในตำแหน่งพีอาร์ที่ Bangkok Marriott Hotel สุขุมวิท 57 ซึ่งเป็นโรงแรมใหม่ที่กำลังจะเปิดเร็วๆนี้แม้จะเป็นงานที่เหนื่อย เพราะต้องวางระบบทุกอย่างให้พร้อมก่อนโรงแรมจะเปิดให้บริการ แถมยังรับเงินเดือนตามอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ แต่ ริน กลับภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองได้ทำ แถมยังแบ่งภาคตัวเองมาช่วยงานคุณแม่ ดูเรื่องงานนาฬิกาแบรนด์ Vabene และ Hamilton อีกด้วย “อยากทำงานเยอะๆ เพราะรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปรวดเร็วมาก รินอยากรีบทำทุกอย่างที่อยากทำ อยากใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่า โอกาสพอมาแล้วต้องรีบคว้าไว้ เราไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะมาอีก”เมื่อถึงเวลาที่พร้อมด้วยประสบการณ์จากการทำงานกับโลกภายนอก แน่นอนว่า สาวน้อยหน้าหวานอย่าง “ริน” จะต้องกลับเข้ามาสานต่อธุรกิจนาฬิกาของศรีทองพาณิชย์ แบบเต็มตัว และด้วยเนื้องานที่เต็มไปด้วยคุณภาพคับแก้วทีเดียว!!!

สตรีหมายเลข 1 สหรัฐโฉมใหม่ งัดชุดเก่า ร่วมงานฉลองปธน.

สตรีหมายเลข 1 สหรัฐโฉมใหม่ งัดชุดเก่า ร่วมงานฉลองปธน.
ก็เพราะเศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด และต้องตอบสนองนโยบายการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา จึงทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของประชาชน โดยสั่งงดจัดงานเลี้ยงพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งสมัยที่สอง จากประเพณีเดิมของไวท์เฮาส์ ที่นิยมจัดงานเลี้ยงใหญ่ต่อเนื่องนับ 10 งาน มาถึงปีนี้ขอลดความฟุ่มเฟือยลงเหลือเพียง 2 งานเท่านั้น และจัดรวบยอดวันเดียวจบ ในวันที่ 21 ม.ค.2013 ประกอบด้วยงานเลี้ยงอาหารค่ำฉลองพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งจัดขึ้นภายหลังการกล่าวสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ที่แคปปิตอล ฮิลล์ และงานคอนเสิร์ตอุทิศให้กับครอบครัวทหารหาญของอเมริกา จัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมวอชิงตัน แม้แต่พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ก็จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและเป็นส่วนตัว ภายในห้องทำงานสีฟ้าของทำเนียบขาว ก่อนที่พิธีสาบานตนต่อสาธารณชนจะเริ่มขึ้นในช่วงค่ำด้านสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง“มิเชล โอบามา” เดินตามรอยสามีทุกกระเบียดนิ้ว โดยรัดเข็มขัดจนเอวกิ่วด้วยการเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดเก่า เดรสสีดำตกแต่งเลื่อมของดีไซเนอร์เลือดมะกัน “ไมเคิล คอร์ส” ซึ่งเคยใส่ไปงานดินเนอร์ของสถาบันชาวอเมริกัน เชื้อสายฮิสแปนิก เมื่อปี 2009 ออกมาปัดฝุ่น เพื่อใส่ออกงานซ้ำอีกครั้ง ระหว่างร่วมงานเลี้ยงพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งสมัยที่สองของสามี ณ เนชั่นแนล บลิวดิ้ง มิวเซียม ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. งานนี้สอบผ่านฉลุย เพราะเฟิร์สต์เลดี้สร้างลุคสดใหม่ ด้วยการตัดผมบ๊อบสั้นหน้าม้า...ถือเป็นการกระชากวัยฉลองวันเกิดครบรอบ 49 ปีเต็ม ได้สมศักดิ์ศรีสไตล์ไอคอนของผู้หญิงครึ่งค่อนโลก.

อดีตเลขาฯอาเซียนกระตุ้นเตือนไทย วาระเร่งด่วนอยู่รอดบนเวทีโลกาภิวัตน์

อดีตเลขาฯอาเซียนกระตุ้นเตือนไทย วาระเร่งด่วนอยู่รอดบนเวทีโลกาภิวัตน์
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณเพื่อยกย่องและสนับสนุนศิษย์เก่า “สิงห์ทอง” จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ได้ทำประโยชน์ให้แก่สังคมในสายงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เจ้าสัว “สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์” ในฐานะนายกสมาคมศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง จึงเป็นโต้โผใหญ่ร่วมกับ ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดี และรักษาการคณบดี คณะรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง จัดงาน “พิธีมอบรางวัลเกียรติคุณศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ดีเด่น มหาวิทยาลัยรามคำแหง ประจำปี 2555” ที่ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัล ลาดพร้าว เมื่อเร็วๆนี้เจ้าสัวสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ยินดีกับสิงห์ทองรุ่นน้อง สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ.บรรยากาศภายในงานคึกคักไปด้วยรุ่นพี่-รุ่นน้องสิงห์ทอง ที่มาร่วมแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล ทั้ง 14 คน ได้แก่ ชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต รมว.กระทรวงศึกษาธิการ, วิทวัส บุญญสถิตย์ สมาชิกวุฒิสภา และเจ้าของธุรกิจน้ำมัน, สันติ พร้อมพัฒน์ รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ, วิทยา เทียนทอง อดีต ส.ส., สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือ ไทยซัมมิท กรุ๊ป, คมสัน เอกชัย ผวจ.ชลบุรี, พรศักดิ์ เจียรณัย ผวจ.ชัยภูมิ, จิตรา พรหมชุติมา ผวจ.ปราจีนบุรี, บัวสอน มีนาพันธ์ นักสังคมสงเคราะห์ผู้พิการทางการได้ยิน, ฐนนท์ศรณ์ เลิศฤทธิ์ศิริกุล ที่ปรึกษา รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ธรรมศักดิ์ ชนะ รองอธิบดีกรมที่ดิน, พัชระ สารพิมพา ผอ.คลื่นวิทยุ FM 100.5 สำนักข่าวไทย, ประพันธ์ อัศวอารี MD บจม.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก และทวีชัย จริยะเอี่ยมอุดม MD ท็อปไลน์ไดมอนด์ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ และสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ (ขวาสุด) มอบรางวัลศิษย์เก่าสิงห์ทองดีเด่นแก่ ชินวรณ์ บุณยเกียรติ.นอกจากนี้ในงาน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน มาเป็นองค์ปาฐก กระตุ้นเตือนการรับมือการเมืองและเศรษฐกิจไทยในอาเซียนว่า ในประชาคมอาเซียนยุคโลกาภิวัตน์นี้ สิ่งที่เราภูมิใจในอดีต คือการไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของใคร เป็นเรื่องที่ไม่พอเสียแล้วที่จะแข่งขันกับคนอื่น หรือการปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง เพราะต่อไปนี้ผลประโยชน์ไม่ได้อยู่เพียงในประเทศ เศรษฐกิจต้องเติบโตไปข้างนอก เพราะตลาดอาเซียนเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าตลาดไทยเป็น 10 เท่า โอกาสนี้จึงเป็นการเปิดให้ทุกคน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าใครพร้อมมากกว่าใคร ใครมีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าใคร คนนั้นก็จะได้เปรียบ นี่คือปรัชญาการตั้งประชาคมอาเซียน สำหรับประเทศ ไทย เรื่องของการศึกษา การเตรียมคน การพัฒนาคนหรือพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คือ วาระที่เร่งด่วน และวิกฤติอันดับแรกของประเทศเราในขณะนี้ ถ้าจะอยู่รอดบนเวทีโลกาภิวัตน์และเวทีอาเซียน เราต้องไปโตนอกประเทศ แต่เราจะไปไม่ได้เพราะคนของเราไม่พร้อม นี่จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดของประเทศชาติ รวมทั้งเรื่องของภาษาเด็กในสมัยนี้ตื่นเรื่องประชาคมอาเซียน ด้วยความตระหนกมากกว่าตื่นอย่างมีสติ ทุกหน่วยงานมีงบอาเซียนอยู่ทุกหน่วยงาน ปัญหาคือแล้วมีสติอยู่ในนั้นหรือเปล่า มีการตื่นตัวเพื่อเตรียมตัวอยู่หรือเปล่า หรือตื่นแล้ววิ่งหนี ประชาคมอาเซียนจึงเป็นสิ่งที่ท้าทายและให้โอกาสมาก แต่เราต้องมีการปรับตัว โดยเฉพาะเรื่องคอรัปชันจะเอาอย่างไร ถ้าเขาต้องมาจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชา เขาก็จะต้องขึ้นศาลที่ประเทศเขาตามกฎหมายแอนตี้คอรัปชัน ทั้งยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย ก็เหมือนกัน ซึ่งประเทศไทยถูกจัดอันดับในเรื่องการคอรัปชันสูง เรื่องนี้จึงน่าเป็นห่วง นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นโอกาสที่ประเทศ ไทยจะอยู่รอดในอาเซียนแคบลงทุกวัน การปรับทัศนคติก็สั้นลงทุกวัน ดร.สุรินทร์ ให้ข้อคิดในที่สุด.

Monday, January 21, 2013

สารพัดปุ่มบนพวงมาลัย F1

สารพัดปุ่มบนพวงมาลัย F1
การเปลี่ยนเกียร์ 8 อัตราทดด้วยความว่องไวราวสายฟ้าแลบของระบบอิเล็กทรอนิกส์ในรถ F1 มีความแม่นยำและไวถึง 1/10,000 วินาที ทำให้การสูญเสียพลังงานในรูปของแรงบิดที่ถูกส่งไปยังล้อคู่หลังแทบจะใช้เครื่องมือตรวจวัดไม่ได้ และเมื่อเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสู่เกียร์สูง นักขับแทบจะไม่รู้สึกถึงแรงกระชากที่เกิดขึ้นขณะกลไกของชุดส่งกำลังหมุนทดอย่างต่อเนื่อง ความเร็วดังกล่าวเกิดขึ้นจากการกดปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย ปุ่มควบคุมต่างๆ ประมาณ 30 ปุ่ม บนพวงมาลัยของรถแข่ง Formula 1 มีทั้งใช้หมุนและกด ปุ่มเหล่านี้ผ่านการออกแบบและทดสอบอย่างหนัก เพื่อให้มันทำหน้าที่ควบคุมระบบต่างๆ ของรถแข่งได้ราวกับนักมายากล การปรับเปลี่ยนโหมดควบคุมเพื่อความสมดุลขณะทำการแข่งขันคือข้อได้เปรียบเสียเปรียบ อันนำมาซึ่งชัยชนะ หรือความพ่ายแพ้ แม้เพียงเศษเสี้ยวของวินาที รถแข่ง F1 ในทุกวันนี้มีระบบอากาศพลศาสตร์ที่ดีเยี่ยม มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กที่ทรงพลัง มันมีเกียร์กึ่งอัตโนมัติ 8 อัตราทดที่ทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ คลัตช์มือที่เบาราวกับปุยนุ่นและอื่นๆ อีกกว่า 30 รายการปรับตั้งที่ถูกใส่ลงไปบนพวงมาลัยแคฟล่าห์น่าตาประหลาดพิลึกพิลั่นนอกจาก ระบบอากาศพลศาสตร์ เครื่องยนต์ และระบบขับเคลื่อนจะถูกพัฒนาไปไกลมากแล้ว พวงมาลัยของรถแข่งความเร็วสูงเหล่านี้ ได้กลายมาเป็นนวัตกรรมใหม่ของวงการยนตรกรรม การใช้คาร์บอนไฟเบอร์แทบจะทุกจุด รวมถึงพวงมาลัยทรงเหลี่ยมช่วยให้โครงสร้างของรถ F1 กับพวงมาลัยมีน้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น คาร์บอนคอมโพสิตที่ถูกนำมาผลิตเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ของรถ F1 มีมากถึง 85% แต่มันกลับมีค่าเฉลี่ยของน้ำหนักรถทั้งคันเพียงแค่ 30% เท่านั้น น้ำหนักรวมทั้งคันที่เบากว่ารถ ECO Car ทำให้วิศวกรของหลายทีมสามารถลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำเตี้ยลงแทบจะติดพื้น ความเบาของตัวรถจำเป็นต้องมีการถ่วงน้ำหนักเพิ่มตามกฎของ FIA เพื่อไม่ให้มีการได้เปรียบเสียเปรียบจนเกินไป พวงมาลัยที่ใช้การกดเบาๆ เพียงครั้งเดียวก็สามารถถอดออกได้ง่ายๆ ช่วยในเรื่องของความสะดวกขณะนักขับก้าวลงไปยัง Cockpit ที่เล็กกว่ากล่องกระดาษ เทคโนโลยีอันก้าวกระโดดของวงการ F1 มักจะมีสิ่งของอุปกรณ์ใหม่ๆ ถูกนำกลับมาใช้งานในรถบ้านอยู่เสมอ แป้นเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์หลังพวงมาลัย ซึ่งครั้งหนึ่งมีใช้เฉพาะแค่รถแข่ง F1 แต่ทุกวันนี้คุณจะเห็นแป้นดังกล่าวอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์รุ่นใหม่ นอกเหนือไปจากพวงมาลัยน่าตาน่าเกลียดแต่ใช้งานได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ยังมีนวัตกรรมของเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร สร้างตามกฎข้อบังคับของ FIA สร้างแรงม้าได้มากถึง 750 ตัว กำลังส่วนใหญ่ของเครื่องยนต์รถแข่ง F1 จะมาในรอบสูงถึง 13,500 รอบต่อนาทีลองมาดูกันว่า ในวงพวงมาลัยของรถ F1 เหล่านี้ มีปุ่มที่ใช้สำหรับทำอะไรบ้าง บางปุ่มแทบจะไม่ถูกใช้งานเลย แต่กลับกัน บางปุ่มหากหยุดการทำงาน หรือล้มเหลว อาจทำให้รถแข่งคันนั้นต้องมีอันออกจากการแข่งขันไปเลยก็ได้VDOSkip 10 Presterปุ่มวิเศษที่ทำให้นักขับไปสู่ค่าที่ต้องการได้ โดยมันจะอัพโหลดเร็วขึ้นถึง 10 เท่าNeutral Gearปุ่มควบคุมความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับการวิ่งเข้าพิตเพื่อเปลี่ยนยาง หากมันไม่ทำงาน หรือกดพลาด นักขับจะโดนทำโทษทันทีที่วิ่งเข้าพิตด้วยความเร็ว ที่สูงเกินกว่ากำหนด (80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)Lap Delta / Kers Reservoirมันไม่ใช่ปุ่ม แต่มันคือจอแสดงผลแบบมัลติฟังก์ชั่นที่มีขนาดเล็ก ใช้แสดงเวลาต่อรอบรวมถึงแสดงสถานะของระบบสำรองพลังงานหรือ KERSRev Counterไฟสัญลักษณ์แสดงความสัมพันธ์ของรอบเครื่องยนต์ กับจังหวะของการเปลี่ยนอัตราทดที่ต้องมีความสอดคล้องกันอย่างสูงสุด การเปลี่ยนเกียร์ในห้วงเวลาที่พอดีกับรอบเครื่องยนต์ ทำให้รถแข่งมีแรงบิดที่สมบูรณ์และช่วยลดเวลาต่อรอบได้อย่างน่าแปลกใจ หากนักขับใช้มันได้อย่างถูกต้องกับการแข่งขันในแต่ละสนามที่มีสภาพแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงPreset Buttonปุ่มลัดเพื่อการปรับค่าต่างๆ ของตัวรถได้ทันที ย่นระยะเวลาได้เร็วกว่าปกติเพื่อการตอบสนองอย่างว่องไวDiff Adjustปุ่มปรับเปลี่ยนความเร็วการหมุนของล้อคู่หลังซึ่งเป็นล้อขับเคลื่อน ช่วยให้เข้าโค้งได้เร็วขึ้นShift Paddleก้านเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย มันคือนวัตกรรมของรถแข่งที่ถูกนำมาใช้ในรถสปอร์ต รวมถึงรถยนต์บางรุ่นที่ต้องการเอาอกเอาใจพวกที่ชอบขับแบบซิ่ง ช่วยเปลี่ยนเกียร์ได้เร็วแม้จะอยู่ในระหว่างการเลี้ยวโค้ง Pre Set Map Selectionสำหรับการปรับตั้งค่าต่างๆของเครื่องยนต์ให้มีการตอบสนองต่อการขับขี่ของนักแข่งคนนั้นๆPit Radio Confirmปุ่มวิทยุสื่อสารกับทีม บางครั้งการแจ้งเตือนนักขับให้ทราบถึงเวลาที่ตามหลังหรือนำ อาการของเครื่องยนต์รวมถึงระบบต่างๆ ให้นักขับได้รับรู้Clutch Paddleติดตั้งอยู่ทั้งสองข้างของวงพวงมาลัย ใช้งานได้ง่ายและเบามือSafety Car Mappingนักแข่งจะใช้ปุ่มนี้ก็ต่อเมื่อมีรถ Safety Car ออกมาวิ่ง เพื่อควบคุมความเร็วให้ถูกต้องตามกฏTorque Settingปุ่มเลือกระดับแรงบิดของตัวรถแข่ง มีตัวเลขตั้งแต่ 1-12 ระดับให้เลือกใช้ ระดับ 12 คือระดับที่สูงสุดของกำลังเครื่องยนต์ Differential Corner Entryปุ่มควบคุมการทำงานของเฟืองท้ายExcess Rotary Functionsปุ่มควบคุมการทรงตัวในโหมดการขับขี่ที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ของสภาพสนามในช่วงนั้นๆ มีให้เลือกทั้งเปียก แห้ง ลื่น ฯลฯBite Point Wheelปุ่มปรับการทำงานของคลัตซ์Multi Functionปรับการทำงานของจอแสดงผลขนาดเล็กบริเวณกึ่งกลางด้านบนของพวงมาลัย รวมถึงการปรับตั้งค่าของเครื่องยนต์Differentialปุ่มปรับ Differential เมื่อนักขับใช้คันเร่งหนักๆบ่อยครั้งFuel Mixปุ่มปรับการควบคุมการผสมของอากาศและเชื้อเพลิง ใช้บ่อยมากก็ยิ่งสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้นReverse Gearปุ่มใช้เกียร์ฉุกเฉินเพื่อให้วิ่งกลับ Pit ได้โดยไม่ต้องจอดข้างทางหากเกิดการผิดพลาดของระบบส่งกำลังขณะทำการแข่งขันBrake Balanceปุ่มปรับการทำงานของระบบห้ามล้อทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยนักขับสามารถเลือกปรับให้เบรกหน้า-หลังมีการทำงานที่แตกต่างกันได้Bite Point Buttonปุ่มตั้งค่าระดับการจับของชุดคลัตช์Harvest Settingปุ่มตั้งค่าระบบสำรองพลังงาน KERSKERS Buttonปุ่มกดเรียกพลังงานสำรองเพื่อนำออกมาใช้ มีกฎข้อบังคับของ FIA ให้ใช้ได้ในบางจุดเท่านั้นสำหรับการเร่งความเร็วแบบฉุกเฉินเพื่อแซงVDOอาคม รวมสุวรรณE-Mail chang.arcom@thairath.co.thFacebook https://www.facebook.com/chang.arcom 

ท่องโลกด้วยกระเป๋าชาติอิตาลี หรูดีตามสไตล์ Bric’s Milano

ท่องโลกด้วยกระเป๋าชาติอิตาลี หรูดีตามสไตล์ Bric’s Milano

ฉีกทุกสัมผัสความแรง อัลบา ออโต้ สปอร์ต ลิมิเต็ด อิดิชั่น สักเรือนไหม!

ฉีกทุกสัมผัสความแรง อัลบา ออโต้ สปอร์ต ลิมิเต็ด อิดิชั่น สักเรือนไหม!
อัลบา ออโต้ สปอร์ต ลิมิเต็ด อิดิชั่น ฉีกทุกสัมผัสแห่งความแรง...แซงทะยานทุกความโฉบเฉี่ยว...!ออกตัวแรง แซงทุกความโค้งพร้อมสตาร์ตเครื่องเต็มพิกัดไปกับมอเตอร์สปอร์ตวอทช์ล่าสุดจาก  “ALBA” ยนตรกรรมแห่งเรือนเวลาที่จัดเครื่องหนักระดับเทพ เทรนด์ใหม่ของคนวัยรุ่นเจเนอเรชั่นนี้ กับ อัลบา ออโต้ สปอร์ต ลิมิเต็ด อิดิชั่น (ALBA Auto Sport Limited Edition) เรือนเวลาแฝงความเท่กับหน้าปัดดีไซน์ Motor Sport Racing ซึ่งบรรจุสปอร์ตโครโนกราฟ พร้อมให้คุณออกสปีดสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างเร้าใจ เพิ่มดีกรีความแรงกับหน้าปัดสีแดงทรงพลัง และสีเขียวมะนาวสุดปรี๊ด แข็งแกร่งกับตัวเรือนและสายสเตนเลสสตีลสีดำ เคลือบ Black IP พร้อมบอกเวลาแบบ 3 เข็ม เพิ่มช่องแสดงวันที่ตรงตำแหน่งที่ 3 นาฬิกาแถมยังพาคุณตะลุยมันส์แบบลักส์ชัวรี่ได้ทั้งบนบกและในน้ำกับประสิทธิภาพกันน้ำ 100 เมตร ให้คุณได้สนุกเร้าใจไปกับทุกกิจกรรมด้วยของแถมสุดพิเศษ! สายไนลอนคุณภาพชั้นเยี่ยม และเอ็กซ์คลูซีฟกับความเป็น Limited Edition เพียงสีละ 450 เรือนในประเทศไทยเท่านั้น !! (ราคาเรือนละ 6,665 บาท) เตรียมออกสตาร์ตพร้อมกันวันนี้ หรือเข้าไปชมความเจ๋งได้ที่ www.albathailand.com และ facebook ของ ALBA Thailand

Sunday, January 20, 2013

ห้อง 2 สไตล์ Mood&Tone สร้างอารมณ์ของแต่งบ้าน

ห้อง 2 สไตล์ Mood&Tone สร้างอารมณ์ของแต่งบ้าน
ห้องนอนกับห้องรับแขก ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้คนอยู่ และผู้มาเยือนรู้สึกอบอุ่น Trend@home วันนี้จึงมีห้องตัวอย่างที่ตกแต่งไว้อย่างลงตัว ทั้งห้องนอน และห้องรับแขก Mood&Tone จะลงตัวขนาดไหน มาดูกันเลย1. Deluxe Serenity หากสนใจยกระดับบรรยากาศเงียบสงบของการจิบน้ำชายามบ่ายให้หรูหราตรึงตาตรึงใจยิ่งขึ้น อะไรจะเหมาะไปกว่าการสร้างจุดเด่นให้มุมนั่งเล่นด้วยผนังลวดลายร่วมสมัยสีดำสนิทแซมสีทองอร่าม และเพื่อให้คุณได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลาผ่อนคลายอย่างเต็มที่ ลองเลือกใช้โทนสีเรียบนิ่งอย่างสีขาว-ดำ ผสมผสานกับผิวสัมผัสอ่อนนุ่มของผ้าสีสว่างตาที่เข้ากันดีกับพื้นและเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้ออ่อนบุหนังสีเข้ม อย่าลืมเสริมรายละเอียดด้วยแอคเซสซอรี่ส์โลหะอย่างเครื่องทองเหลืองสไตล์วินเทจหรือเงินผิวมันวาว ปิดท้ายเติมความสดชื่นด้วยต้นไม้  ไม่ว่าจะเป็นกระบองเพชร หรือกุหลาบหินรูปทรงสวยแบบพอดี ๆ1. ผ้าม่านโปร่งสีขาว คอลเลกชั่น Grazia Sheer 3 2. กระเบื้องสีดำปิดทอง รุ่น  Dok peeb-medium  ขนาด 50x50  เซนติเมตร 3. ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ลายหนังสีน้ำตาลเข้ม คอลเลกชั่น AVANT GARDE 5 4. ผ้าม่านสีเทาอ่อน คอลเลกชั่น F/R Glaze รหัส GLZ193/90 หลาละ 720 บาท 5. ไม้วีเนียร์ รุ่น T-80 6. ไม้วีเนียร์ รุ่น T-294 7. พอลิเมอร์โมเสก รุ่น Celestial : Super Nova Celestial : Super Nova Celestial ลาย Super Nova สี Gray Smoke และ Oyster White8. ไม้วีเนียร์ รุ่น T-629. ไม้วีเนียร์ รุ่น T-73 10. พอลิเมอร์โมเสกสีทอง รุ่น Brushed Metallic (SM-21S) สี 800 Rich Gold ขนาดชิ้นละ 15 x 15 มิลลิเมตรและแบบแผง ขนาด 30.5 x 30.5 เซนติเมตร 11. ถาดทองเหลืองสี่เหลี่ยมขอบลาย ยี่ห้อ Romantic รุ่น 7946AB ขนาด 24 x 10 เซนติเมตร 12. วอลล์เปเปอร์ลายสีดำ-ทอง SAGA II รหัส GA1032 13. นกเซรามิกสีเงิน รุ่น CM003C  14. ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ลายหนังสีน้ำตาลแดง คอลเลกชั่น  Lorenzo 3 รหัส LRZ392/01 ขอบคุณสถานที่ Patara Diamond  เอกมัย 24 โทร. 08-5167-64892. Dreaming in Vivid Blueได้เวลาแปลงโฉมห้องนอนใหม่ให้ความฝันยามค่ำคืนของคุณล้ำจินตนาการกว่าที่เคย อย่าลังเลที่จะใช้ผนังกระจกบานใหญ่มาช่วยสร้างมุมมองให้ห้องดูกว้างขึ้น และสะท้อนผนังสีน้ำเงินสดให้โดนใจสุด ๆ แบบไม่มีกั๊ก และลองสร้างอารมณ์คอนทราสต์น่าสนใจด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งสีเงินหรูหรามันวาว  หมอนขนสัตว์หนานุ่มที่ตัดกันอย่างแรงกับพื้นไม้สังเคราะห์ผิวหยาบสีธรรมชาติมาเสริมบรรยากาศให้ห้อง  สุดท้ายอย่าลืมเติมชีวิตชีวาด้วยงานศิลปะและดอกไม้คู่สีตัดกันอย่างสีแดงและสีเหลือง แล้วความสดใสจะเซอร์ไพรส์คุณจนลืมห้องนอนเก่าสีเรียบไปเลย1. ผ้าเมตรอเนกประสงค์สีน้ำเงินลายสีขาว คอลเลกชั่น Stockholm  Blad 2. กรอบรูปสีเงินเงา Beaded Frame ยี่ห้อ Wacker รุ่น W5046 ขนาด 4 x 6 นิ้ว 3. กระจกสีน้ำเงินฝ้าสำหรับงานภายใน รุ่น Archer (Rainbow 3+3 mm.)  4. ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาล คอลเลกชั่น Manhattan รหัส MH85/04 5. ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ลายหนังสีเงิน คอลเลกชั่น  AVANT GARDE 9 รหัส AVG298/02 6. วอลล์เปเปอร์ Rasch รุ่น African Queen 2014 รหัส 422 726 7. ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ลายหนังสีน้ำตาล คอลเลกชั่น  AVANT GARDE 8 รหัส AVG297/01 8. ผ้าม่านสีเงิน คอลเลกชั่น DIMOUT รหัส PEA241/06 9. วอลล์เปเปอร์ Rasch รุ่น African Queen 2014 รหัส 423 013 10. วอลล์เปเปอร์ MAKASSAR รุ่น Amboine รหัส 966 04 0411. วอลล์เปเปอร์ SEDRA รุ่น Felicita รหัส 40164 12. ผ้าม่านโปร่งสีขาว คอลเลกชั่น Refine Sheer 2 รหัส REF417/02 13. หมอนอิง ยี่ห้อ ASHOKA ขนาด 45 x 45 เซนติเมตร 14. หมอนอิงสีขาว ขนาด 39 x 39 เซนติเมตร 15. กระถางต้นไม้เหล็กกัลวาไนซ์  รุ่น Socker ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร  สูง 10 เซนติเมตร 16. กระจกเงาสีชาสำหรับงานภายใน รุ่น Imperial Topaz (Rainbow 3+3 mm.)17. สีน้ำเงิน Ribbon Dance 52BB15/410 ดูลักซ์ อินสไปร์ สำหรับทาภายใน ผิวด้าน 18. วอลล์เปเปอร์ลายดอกไม้สีน้ำเงิน-ทอง SAGA II รหัส GA1018 19. กระเบื้องไวนิลลายไม้ รุ่น TY 5042C 20. กระเบื้องไวนิลลายไม้ รุ่น TY 5717A ขอบคุณ Room ฉบับเดือนธันวาคมคอลัมน์ Mood&Tonewww.roommag.com

เสิร์ฟเค้กมาม่อนสูตรเด็ดแดนฟิลิปปินส์ อร่อยง่ายราคาเบาๆ

เสิร์ฟเค้กมาม่อนสูตรเด็ดแดนฟิลิปปินส์ อร่อยง่ายราคาเบาๆ
การันตีความอร่อยของเนื้อเค้กนุ่มละมุนลิ้น รสชาติเข้มข้นโดนใจกับเค้กมาม่อนสูตรต้นตำรับจากฟิลิปปินส์ ที่มียอดขายปีละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านชิ้น ในราคาสบายกระเป๋าชื่อเสียงเค้กมาม่อนและชิฟฟ่อนของร้านโกลดิลอคส์ โด่งดังอย่างมากในประเทศฟิลิปปินส์ มีสาขามากถึง 350 สาขา และยังขยายไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา วันนี้ โกลดิลอคส์ เบเกอรี่สัญชาติฟิลิปปินส์ได้นำความอร่อยหลากหลายเมนูมาให้คนไทยได้ลิ้มลองกันแล้วที่ร้านโกลดิลอคส์ทั้ง 6 สาขาทั่วกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ร้านเบเกอรี่ โกลดิลอคส์ (Goldilocks) ในประเทศฟิลิปินส์ มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก ซึ่งเริ่มต้นจากการร่วมมือกันของหญิงสาวที่มีพรสวรรค์และรักการทำอาหาร ความใส่ใจและความพิถีพิถันนี่เองที่ทำให้โกลดิลอคส์กลายมาเป็นองค์กรระดับโลกได้ในปัจจุบันภายใต้แบรนด์ระดับโลกโกลดิลอคส์ จากประเทศฟิลิปินส์ ซึ่งเป็นต้นตำรับเค้กมาม่อนมาตั้งแต่ปี 1970 และมียอดขายต่อปีไม่ต่ำกว่า 10 ล้านชิ้น ได้เปิดตัวขนมเค้กมาม่อนชีสภายใต้แบรนด์ Best Bake (ฟลัฟฟี่ มาม่อนชีส) โดยมีจุดเด่นที่เนื้อเค้กนุ่ม ฟู เข้มข้นด้วยรสเนยและไข่ เติมหน้าเต็มๆ ด้วยชีสนำเข้าคุณภาพเยี่ยม มีจำหน่ายแล้วที่ 7-Eleven สาขากรุงเทพฯและปริมณฑล ในราคาเบาสบายกระเป๋าก็สามารถอร่อยกับเค้กมาม่อนต้นตำรับได้ 

สง่างามดั่งจันทรา สุดยอดนาฬิกาสำหรับสตรีแห่งยุค

สง่างามดั่งจันทรา สุดยอดนาฬิกาสำหรับสตรีแห่งยุค
Harry Winston แบรนด์นาฬิกาสุดหรูระดับโลก เอาใจสุภาพสตรีผู้ต้องการเรือนเวลาที่สง่างามโดดเด่นคลาสสิกกับ Harry Winston Midnight Moon Phase ที่มากับดีไซน์อันงดงาม โรแมนติกดั่งภาพวาดแห่งความฝันพีเอ็มที เดอะ อาวร์ กลาส (PMT THE HOUR GLASS) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ชั้นนำระดับโลก แฮรี่ วินสตัน (Harry Winston) แบรนด์เลื่องชื่อแห่งเครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสหรัฐอเมริกา มอบความคลาสสิกและความสง่างามดั่งดวงจันทร์ที่ควรคู่กับเสน่ห์ของคุณสุภาพสตรีสำหรับเทศกาลแห่งความรักนี้ ด้วยเรือนเวลา แฮรี่ วินสตัน มิดไนท์ มูน เฟส (Harry Winston Midnight Moon Phase)แฮรี่ วินสตัน มิดไนท์ มูน เฟส (Harry Winston Midnight Moon Phase) เรือนเวลาชั้นสูงซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากวงโคจรของดวงจันทร์ ผ่านการดีไซน์อย่างโรแมนติกดุจดั่งภาพวาดแห่งความฝัน โดยมีช่องบอกการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์รังสรรค์ขึ้นเป็นรูปทรงโค้งมนของพระจันทร์เสี้ยว ณ ตำแหน่ง 9 ถึง 12 นาฬิกา ปรากฏหลังลวดลายรูปกิ่งไม้ที่แกะสลักอย่างหรูหรา โดยแฮรี่ วินสตัน มิดไนท์ มูน เฟส มีให้เลือก 2 แบบ คือ ตัวเรือนโรสโกลด์และตัวเรือนไวท์โกลด์ โดยหน้าปัดของตัวเรือนโรสโกลด์ ใช้โทนสีโรสแชมเปญแต่งลวดลายซันเรย์ (Sunray) อวดพื้นหน้าปัดที่ดีไซน์รูปกิ่งไม้เคลือบด้วยโทนสีที่เข้มกว่า ส่วนตัวเรือนไวท์โกลด์ หน้าปัดใช้โทนสีซิลเวอร์ลายซันเรย์เช่นกัน พื้นหน้าปัดดีไซน์เป็นรูปกิ่งไม้เคลือบด้วยสีขาวมุกเงางาม โดยตัวบอกเวลาของทั้ง 2 แบบ ณ ตำแหน่ง 3 ถึง 9 นาฬิกา ประดับด้วยเพชรเม็ดงามเจียระไนแบบ Brilliant-cut และเม็ดมุกซึ่งทำจากทองคำ 18K เพื่อสื่อถึงดวงดาว ส่วนตัวบอกเวลาตำแหน่ง 10 ถึง 2 นาฬิกา ถูกวางเฉกเช่นเป็นลวดลายรังสีพระอาทิตย์ กลมกลืนด้วยตัวแสดงวันที่ทรงกลมเหนือตำแหน่ง 6 นาฬิกา เสริมความหรูหราและงดงามอย่างโรแมนติก ด้วยตัวเรือนขนาด 39 มม. พร้อมสายผ้าซาติน รอบขอบตัวเรือนประดับด้วยเพชรเจียระไนแบบ Brilliant-cut 91 เม็ด และเพชรขนาดใหญ่กว่าอีก 3 เม็ด เรียงตัวกันเป็นรูปมงกุฎ ณ ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของบูติค สโตร์ แฮรี่ วินสตัน อันโด่งดังในนิวยอร์ก แฮรี่ วินสตัน มิดไนท์ มูน เฟส ภายในบรรจุเครื่องกลไกควอตซ์ที่สามารถบอกเวลาชั่วโมงและนาทีได้อย่างเที่ยงตรง ฝากระจกคริสตัลแซพไฟร์ป้องกันรอยขีดข่วน มาพร้อมประสิทธิภาพการกันน้ำลึกได้ถึง 30 เมตร 

Thursday, January 17, 2013

นกกางเขนบ้าน

นกกางเขนบ้าน
                ทุกๆ ไตรมาสของปี สมาชิกของ สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย (Bird Conservation Society of Thailand) จะได้รับวารสารชื่อ “นกกางเขน” สอดอยู่ในกล่องไปรษณีย์ที่บ้าน แต่หากไม่ดูแลทำความสะอาดตู้ไปรษณีย์ ก็อาจมี นกกางเขนบ้าน มาจับจองสร้างรังวางไข่แทนก็เป็นได้                นกกางเขนบ้านเป็นสัญลักษณ์ของ ชมรมดูนกกรุงเทพ (Bangkok Bird Club) ซึ่งก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2529 ต่อมาจดทะเบียนและเปลี่ยนชื่อเป็นสมาคมอนุรักษ์นกที่รู้จักกันในปัจจุบัน ด้วยความที่มันเป็นนกสามัญประจำบ้านที่พบเห็นได้ง่ายทั่วประเทศ ไม่ค่อยกลัวคน และคงไม่เกินจริงหากจะพูดว่ามันเป็นนกที่มีท่วงทำนองเสียงเพลงที่ไพเราะเสนาะหูที่สุดชนิดหนึ่ง เป็นสาเหตุให้ถูกจับไปเลี้ยงและรู้จักกันในชื่อ“นกบินหลาบ้าน” ในภาคใต้ (ตามปกติชื่อ “นกบินหลา” มักหมายถึง นกกางเขนดง ซึ่งมีสีสันสวยงามและเสียงร้องซับซ้อนกว่า)                ตามปกติเรามักเห็นนกกางเขนบ้านเพศผู้ส่งเสียงร้องบนเสาโทรทัศน์หรือกิ่งไม้ที่โดดเด่นในช่วงเช้าตรู่และใกล้ค่ำ บางครั้งเราก็ได้ยินเสียงมันร้องตอนกลางคืนด้วย สีสันขาวดำของนกกางเขนบ้านนั้นดูคล้ายกับ นกสาลิกาปากดำ (Common Magpie) นกกางเขนบ้านเลยได้ชื่อสามัญว่า Oriental Magpie Robin                นกกางเขนบ้านเพศเมียมีสีขาวสลับเทาและมีสีน้ำตาลที่ด้านข้างลำตัว แทนที่จะเป็นดำขลับสลับขาวสะอาดโดยไม่มีสีน้ำตาลเหมือนเพศผู้ นกทางภาคใต้มีหลังสีเทาเข้มกว่าทางภาคอื่นๆ เล็กน้อย นกวัยเด็กมีลำตัวด้านบนสีน้ำตาลอมเทาและมีลายเกล็ดสีน้ำตาลที่คอ มันเริ่มทำรังวางไข่ตั้งแต่ช่วงนี้ของปี คือราวๆ เดือนมกราคม ไปจนถึงเดือนกันยายน โดยเอากิ่งไม้เล็กๆ มาวางรองพื้นในโพรงรัง ซึ่งอาจเป็นโพรงไม้ รอยแตกของสิ่งก่อสร้าง หรือวัสดุที่ถูกทิ้งไว้นานๆ ก็ได้ ขอเพียงมีรูที่มีขนาดเหมาะสมกับตัวนก                วันเสาร์ที่ 19 มกราคมที่จะถึงนี้ สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทยจะจัดงานประชุมสามัญขึ้นที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ตั้งแต่เวลา 08.30 น. โดยจะมีการเปิดให้สมาชิกลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนายกและคณะกรรมการชุดใหม่ รับฟังและร่วมแสดงความเห็นในยกร่างแก้ไขข้อบังคับ และร่วมสนุกจับฉลากของขวัญปีใหม่ ใครยังไม่ได้เป็นสมาชิกแนะนำให้สมัครเลยครับอย่าได้รีรอ (ดูรายละเอียดในเว็บ www.bcst.or.th) เพื่อจะได้ใช้สิทธิ์ในการกำหนดทิศทางของสมาคมร่วมกันครับ ......................................... (นกกางเขนบ้าน : คอลัมน์นกป่าสัปดาห์ละตัว)                  

ดอกไม้หวาน บนดอยสูง

ดอกไม้หวาน บนดอยสูง
               ช่วงนี้ ไปทางไหน ก็มีคนถามไถ่ "นางพญาเสือโคร่ง" บานหรือยัง ใครนึกหน้าตาไม่ออก ก็พอจะเทียบเคียงได้กับ "ซากุระ" ของญี่ปุ่น จนบ้านเราเรียกกันว่า "ซากุระดอย" ก็มี เจ้าดอกไม้ประเภทนี้ จะได้เห็นกันที ก็ต้องรออากาศหนาวๆ นานๆ พอใบร่วงหมด ก็จะออกดอกเต็มต้น เป็นสวรรค์บนดอย ทั้งของคนและของนก                 ปีนี้ ฝนหมดช้า อากาศหนาวมาล่าเกิน นางพญาเสือโคร่งได้แต่ทิ้งใบ ทอดเวลามาตั้งแต่ปลายปี 2555 จนล่วงเข้าปีใหม่ 2556 แต่ดูเหมือนอากาศยังหนาวไม่สมใจนางพญาเสือโคร่ง คุณเธอเลยพร้อมใจกันยังไม่บานสะพรั่งตั้งแต่ต้นปี                 ขุนวาง - ขุนช่างเคี่ยน เป้าหมายการเดินทางต้นปีใหม่ของฉัน ปีนี้เลยไม่หวาน บานชมพูทั้งถนน แต่ฉันยังไม่ล้มเลิกความคิดถ้าไม่ได้เห็นกันจะจะ ว่าแล้วก็ชวนเพื่อน พร้อมกับ "อู๊ดดี้" ไปเยือนเมืองเหนือกัน ล้อหมุนจากกรุงเทพฯ ย่ำค่ำ เลี่ยงเมืองเชียงใหม่ โดยใช้ถนนหมายเลข 106 เถิน-ลี้ ถ้าใครไม่ชอบขับรถขึ้นเขา มักจะเลี่ยงเข้าลำปางแทน หากแต่ถนนเส้นนี้ช่วยย่นระยะทางไปขึ้นดอยอินทนนท์ได้เกือบ 100 กม. เชียว                  ฟ้าสางๆ ข้างทะเลสาบดอยเต่า ก่อนเข้าตัวเมืองฮอด บนถนนสาย 1103 แวะเข้าไปดูเพราะอยู่ห่างถนนราว 2 กม. สภาพเหมือนเพิ่งผ่านพ้นช่วงฉลองปีใหม่ตามแพพักต่างๆ แถมน้ำน้อย เลยกะว่า ถ้าน้ำเยอะ คนน้อยๆ ที่นี่ก็คงเหมือนสวรรค์ของความสงบอีกแห่ง                 ออกจากทะเลสาบดอยเต่า ข้ามสะพานแม่น้ำปิง นี่ก็ใจหายอีกรอบ เพราะน้ำน้อยจนเห็นสันทรายโผล่กลางน้ำในบางจุด อากาศยามเช้า อยู่ที่ราวๆ 18 องศา กับหมอกจางๆ พี่อู๊ดดี้ กับฉัน ยังอ้อยอิ่ง เลาะริมทางไปเรื่อยๆ ถนนนอกเมือง ไม่วุ่นวาย จนต้องรีบแย่งกันเดินทาง แวะกินข้าวเช้าที่ตลาด อ.ฮอด "ข้าวซอยไก่" เมนูที่ไม่ต้องคิดมาก เพราะมาถึงถิ่น กินอาหารพื้นถิ่น ถึงจะได้รสชาติ                 จาก อ.ฮอด เข้าจอมทอง เลี้ยวซ้ายขึ้น "ดอยอินทนนท์" เดี๋ยวนี้ขับรถไปสบาย ป้ายบอกทางชัดเจนไม่ต้องกลัวหลง เป้าหมายวันแรกของฉันอยู่ที่ "ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่-ขุนวาง" หวังจะได้ไปเดินเล่นบนถนนสายสีชมพูของดอกนางพญาเสือโคร่ง แต่ทันที ที่เลี้ยวเข้าแยกไป บ้านขุนวาง ฉันได้แต่บอกกับเพื่อนว่า นางพญาไม่บานแน่ๆ แต่ก็ยังดั้นด้นเข้าไปจนถึงที่หมาย                 ทางเข้าขุนวางปีนี้ ช่วงท้ายๆ ถนนเสียหายไปเยอะ ไหล่ทางทรุด บางช่วงเหลือเลนเดียว ใครเข้าไปขับรถระมัดระวังด้วยแล้วกัน ฉันเลือกเดินทางวันธรรมดา คนและรถเลยไม่เยอะ ที่ว่างมีให้เลือกมากมาย เสียค่าใช้สถานที่เสร็จก็ออกสำรวจ บริเวณด้านหน้าปรับปรุงใหม่ มีช้างตัวใหญ่สีฟ้า โผล่มาในแปลงดอกไม้ด้วย                 ถนนสายดอกไม้ของฉัน วันนี้ มีแต่นางพญาไร้ใบ ยืนต้นอยู่เงียบๆ ให้บรรยากาศเหงาเล่นๆ เพราะแทบจะไร้เงานักท่องเที่ยว เดี๋ยวนี้ทำเป็นเส้นทางเดินรถทางเดียว ห้ามรถเข้าไปแล่นเกะกะแล้ว ฉันพาพี่อู๊ดดี้เลยลงไปถึง "หุบรับเสด็จ" เลยได้เห็นนางพญาเสือโคร่ง สีชมพูและสีขาว บานเต็มต้นอยู่บ้างชนิดนับต้นถ้วน                 กลับออกจากศูนย์วิจัยเกษตรฯ ขุนวาง อย่างผิดหวังเล็กๆ ที่มาไม่ถูกช่วง แต่...ยังมีอีกจุดหนึ่ง กลางทางที่ผ่านมา สวยงามที่สุด ณ นาทีนี้ (8-9 ม ค.56) บริเวณที่ตั้ง "โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ตามพระราชดำริในพื้นที่ภาคเหนือ (ดอยอินทนนท์)" ซึ่งอยู่บริเวณ กม.8 จากปากทางแยกเข้าบ้านขุนวาง ผ่านน้ำตกสิริภูมิ เข้ามา                  ที่นี่ นางพญาเสือโคร่งบานราวๆ 60% เห็นจะได้ แถมด้วยอ่างเก็บน้ำเล็กๆ กับทิวสนต้นใหญ่ๆ สวยงาม สงบเงียบ จนฉันไม่อยากจะเคลื่อนตัวไปไหน เดินเลาะเข้าไปด้านใน เห็นเรือนกึ่งไม้ กึ่งปูน มีปล่องไฟด้านบน ดูแล้วนึกถึงบ้านในเมืองหนาว ที่ต้องมีเตาผิง ซึ่งเป็นที่ทำการ แล้วยังเป็นสถานที่รับเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสเสด็จฯ เยือนพื้นที่ด้วย มุมนี้จะมองเห็นไปไกลถึงยอดดอยหัวเสือ และขุนเขาสลับซับซ้อน และเป็นจุดชมอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม                 "โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ตามพระราชดำริในพื้นที่ภาคเหนือ (ดอยอินทนนท์)" ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวทั่วไป ที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าพักได้ ที่นี่เลยมีเวลาเปิด-ปิด 08.00-17.00 น. แต่ช่วงฤดูท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ก็มักจะปิดเลยไปถึง 18.00 น.                 นัท, ภาพ และ ลุงขาว ที่อยู่ประจำโครงการ มานั่งพูดคุยกับเรา เลยได้ความรู้อีกเยอะ กับโครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ซึ่งในเมืองไทยมีมากถึง 13 สายพันธุ์ แต่ที่ศูนย์อนุรักษ์แห่งนี้ สามารถรวบรวมมาเพาะพันธุ์ไว้ได้ 11 สายพันธุ์ นับจากที่เริ่มดำเนินการมา ในปี 2547 ตามพระราชดำริของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โดยที่ศูนย์นี้จะเน้นไปที่สายพันธุ์แท้ มากกว่าพวกลูกผสม                 จังหวะต้นปีแบบนี้ รองเท้านารีดอยอินทนนท์ ออกดอกอวดความงาม ฟอร์มรองเท้าสวยสมบูรณ์ดอกใหญ่ ต้องใจคนชอบกล้วยไม้ประเภทนี้ยิ่งนัก แต่ลึกๆ ในใจ ฉันก็ชอบตอนเห็นมันชูดอกอยู่ในป่า ในธรรมชาติ ซึ่งหาได้ยากนัก เพราะขนาดอยู่ในศูนย์อนุรักษ์ ยังเคยมีคนเข้ามาขโมย จนต้องคล้องกุญแจกันเหนียวแน่น เวลาไม่มีคนเฝ้า                 ช่วงอากาศหนาวๆ นางพญาเสือโคร่งบานเต็มต้น โดยเฉพาะที่อยู่ด้านหน้าโครงการ คอยเรียกแขกที่อกหักจากนางพญาเสือโคร่งที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงขุนวาง แต่ถ้าพ้นช่วงของนางพญาเสือโคร่งไปแล้ว ก็คงเป็นทีของรองเท้านารี ที่จะผลัดกันออกดอกเรียกแขกเช่นกัน ใครไปช่วงที่ไม่เห็นดอก ก็จินตนาการได้ไม่ยาก เพราะมีรูปปูนปั้นของกล้วยไม้รองเท้านานีสายพันธุ์ต่างๆ พร้อมคำอธิบายย่อๆ ให้ได้ทราบกันด้วย                 นัทบอกว่า เป้าหมายคือ การอนุรักษ์ เพาะและขยายพันธุ์เพิ่ม เพื่อที่ว่า วันหนึ่งจะได้นำไปคืนสู่ธรรมชาติ แม้จะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากรองเท้านารีตามธรรมชาติ โดยเฉพาะรองเท้ายี่ห้อดอยอินทนนท์ มักถูกหมายตา                 ลงจากดอยอินทนนท์ ขับรถเข้าเมืองเชียงใหม่ เพราะเป้าหมายถัดไป อยู่ที่ "ขุนช่างเคี่ยน" ซึ่งขึ้นทางเดียวกันกับ วัดพระธาตุดอยสุเทพฯ แต่จะเลยไปอีกราว 13 กม. แยกเข้าบ้านม้งขุนช่างเคี่ยน ขึ้นไปถึงก็พลบค่ำ ลงหลักปักเต็นท์นอนที่ลานกางเต็นท์ดอยสุเทพ-ปุย รุ่งเช้า ขับเข้าไปที่ร้านกาแฟของสถานีวิจัยเกษตรของ มช. ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องถนนสีชมพู ยามที่นางพญาเสือโคร่งบานเต็มที่                 แต่... ไม่ต่างจากขุนวาง มีแต่ถนน นางพญาไร้ใบ แต่มีต้นงามดอกตรึมอยู่ต้นเดียว หลังร้านกาแฟ เลยถูกรุมทั้งจากนักท่องเที่ยวและนกเล็กๆ หลายชนิด โดยเฉพาะพวกกินปลี ที่ต่างพากันมารุมจิบน้ำหวานจากดอกนางพญาเสือโคร่ง คาดว่าอีกราว 10 วัน หรือช่วงอาทิตย์สิ้นเดือนดอกน่าจะบานเต็มที่ ขออย่าฝนตกซะก่อนเป็นใช้ได้ แต่ตรวจสอบก่อนเดินทางจะดีที่สุด                 การเดินทางท่องเที่ยวโดยเฉพาะธรรมชาติ เป็นสิ่งที่คาดหวังยาก ถ้าไปแบบไม่คาดหวัง โอกาสดีๆ ตามรายทางมีเสมอ   ................................................... ตรวจสอบดอกไม้บาน สถานีเกษตรบนที่สูง ขุนช่างเคี่ยน : 0-5394-4052 ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงฯขุนวาง : 0-5311-4133-36    เที่ยวทั่วไทยไปกับโตโยต้า ขับรถชมดอกไม้ บนดอยสูง                 ความสวยงามมักอยู่ยอดๆ ดอกนางพญาเสือโคร่ง ก็ไม่ต่างกัน ออกดอกงามๆ ในช่วงอากาศหนาวแล้วยังอยู่บนดอยสูง โดยเฉพาะที่ "ขุนช่างเคี่ยน" ใครจะไปต้องผ่านถนนปราบเซียน เพราะทางแคบ คดเคียว และชัน                 เริ่มตั้งแต่เชิงดอยสุเทพ จะเป็นทางชันคดเคี้ยวขึ้นเขาอย่างเดียว ยังดีที่ 3-4 เลน พอเลยไปพระตำหนักภูพิงคฯ ไป ดอยปุยจะเหลือแค่ 2 เลน และพอแยกไปบ้านม้งขุนช่างเคี่ยน กลายเป็นถนนเลนเดียว บางช่วงด้านหนึ่งเป็นเขา ด้านหนึ่งเป็นเหว จะสวนทางต้องรอจังหวะให้ดี เพราะทางเบี่ยงมีให้แคบๆ                  "แตร" เป็นสิ่งจำเป็น ตรวจสอบก่อนเดินทางว่ายังใช้งานได้ และควรต้องกดแตรทุกทางโค้ง เพื่อที่รถสวน หรือเราเองเมื่อได้ยินแตร จะได้ระวังและถ้าใครอยู่ในจังหวะที่หลบได้ จะได้หลบไว้ก่อน เพื่อให้อีกคันผ่านไป ดีกว่ามาจ๊ะเอ๋กันแล้วไปไหนไม่ได้ทั้งคู่                 ถ้อยที ถ้อยอาศัย เดินทางปลอดภัย ท่องเที่ยวสนุกค่ะ                 ................................................ (ดอกไม้หวาน บนดอยสูง : คอลัมน์ชวนเที่ยว)                                                   

Blog Archive